MGR Online - “สมศักดิ์” รับเรื่ององค์กรช่วยเหลือเด็กและเยาวชนเข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยาน-ฟื้นฟูสภาพจิตใจ ยันทำเป็นคดีตัวอย่างขอให้สืบพยานไว้ก่อนฟ้อง ตามกฎหมายอาญา ม.237 ทวิ เร่งเอาผิดครูและรุ่นพี่ 7 คน โดยเร็วที่สุด
วันนี้ (12 พ.ค.) เวลา 14.30 น. ที่ศูนย์บริการร่วม กระทรวงยุติธรรม (ยธ.) นางทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก พร้อมด้วยนายชูวิทย์ จันทรส เลขาธิการมูลนิธิเด็ก เยาวชน และครอบครัว มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และเครือข่ายปกป้องเด็กและเยาวชน ลดปัจจัยเสี่ยงทางสังคม กว่า 10 คน เข้ายื่นจดหมายเปิดผนึกต่อนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (รมว.ยธ.) เพื่อเรียกร้องให้นำผู้เสียหายและครอบครัว เข้าสู่กระบวนการคุ้มครองพยาน ของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ควบคู่กับการฟื้นฟูสภาพจิตใจเพื่อให้ผู้เสียหายมั่นใจในกระบวนการยุติธรรม และได้เข้าถึงการเยียวยาจากกองทุนยุติธรม กรณีครูและรุ่นพี่รวม 7 คน ข่มขืนนักเรียนหญิงชั้นมัธยมศึกษาที่ 2และ 4 ที่โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.มุกดาหาร
นายสมศักดิ์เผยว่า วันนี้ได้รับหนังสือจากมูลนิธิช่วยเหลือเด็กและเยาวชนฯ พร้อมทำงานร่วมกัน โดยการดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมายกว่าจะสืบสวนเสร็จก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 3 เดือน และส่งอัยการใช้เวลาอีก 3 เดือนถึงจะมีการไต่สวนมูลฟ้องที่ศาล ดังนั้น จึงตัดสินใจว่าจะทำกรณีนี้ให้เกิดความชัดเจนและเป็นประโยชน์แก่ประชาชนที่มีลูกหลานเป็นเด็กที่ได้รับความเสียหาย และให้ได้รับความปลอดภัยภายใต้การทำงานของรัฐบาล นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนจะต้องประสานไปยังอัยการจังหวัดมุกดาหาร ขอให้สืบพยานไว้ก่อนฟ้องซึ่งเป็นอำนาจพิเศษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 237 ทวิ โดยให้เหตุผลว่าคดีดังกล่าวเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนทั้งประเทศ และจำเลยถือว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อโจทก์ เนื่องจากเป็นครูอาจารย์ย่อมมีอำนาจข่มขู่ผู้เสียหายที่เป็นนักเรียน ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจของผู้เสียหาย และหากปล่อยไว้นานก็จะทำให้มีผลต่อการสืบพยาน
“เหตุผลไม่อยากปล่อยไว้ในระยะยาวนั้นเพราะพยานจะจำสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะสั้นได้ดี รวมทั้งร่องรอยการกระทำและพฤติกรรม ทำให้ศาลได้รับข้อมูลมากที่สุด หากมีการดำเนินด้วยความรวดเร็วก็จะไม่มีเหตุแทรกแซงที่ทำให้ญาติพี่น้องของผู้เสียหายเกิดความเบื่อหน่ายและยอมความ ซึ่งมีตัวอย่างจากคดีปกติเมื่อใช้เวลานาน 3-6 เดือน ทำให้คดีพลิกผันกลายเป็นเรื่องอื่นในที่สุด ตรงกันข้าม หากพยานและผู้ถูกฟ้องใช้เวลาน้อยก็จะมีผลให้จำเลยจะสารภาพสิ่งที่ทำผิด ต้องขอบคุณมูลนิธิฯ ที่ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเติมเต็มแสดงเจตนาที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ให้แก่เด็กหญิงผู้เสียหายทั้งสองคน” นายสมศักดิ์กล่าว
ด้านนางทิชากล่าวว่า จากประสบการณ์เข้าไปมีส่วนร่วมทำงานในคดีเด็กและเยาวชน เช่น กรณีค้ามนุษย์ที่ผู้เสียหายเป็นเด็กในพื้นที่บ้านน้ำเพียงดิน จ.แม่ฮ่องสอน รวมถึงกรณีเด็กหญิงถูกรุมโทรมจากผู้ชายหลายสิบคน นานนับปีในพื้นที่บ้านเกาะแรด จ.พังงา เมื่อ 3 ปีก่อน พบสิ่งที่เป็นประโยชน์และเป็นบทเรียนในการทำงานจากความร่วมมือของหลายฝ่ายทั้งภาครัฐและเอกชน พบว่ายังมีช่องว่างบางประการที่จะเป็นอุปสรรคต่อการเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในกระบวนการยุติธรรม และการคุ้มครองเด็กและเยาวชนผู้เสียหายและครอบครัว
นางทิชากล่าวอีกว่า กระทั่งเหตุการณ์ใน จ.มุกดาหาร เครือข่ายจึงมีจุดยืนและข้อเสนอต่อกระทรวงยุติธรรมดังต่อไปนี้ 1. ขอสนับสนุนกระทรวงยุติธรรม ให้เร่งรัดกระบวนการนำผู้เสียหายและครอบครัวเข้าสู่การคุ้มครองพยาน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพโดยเร็วที่สุด รวมถึงเร่งรัดมอบเงินช่วยเหลือเยียวยาจากกองทุนยุติธรรมเป็นการด่วน 2. นอกจากมิติด้านความปลอดภัยในกระบวนการคุ้มครองพยานแล้ว ต้องให้ความสำคัญการฟื้นฟูสภาพจิตใจของผู้เสียหายและครอบครัว เพราะความหวาดกลัวและด้อยในการต่อรองของผู้เสียหายด้วย จำเป็นต้องมีการฟื้นฟู การเสริมพลังเพื่อให้ผู้เสียหายเห็นคุณค่าของตัวเองและพร้อมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม 3. ขอให้กระทรวงยุติธรรมเป็นแม่งาน ในการระดมสมองเพื่อหาทางออกจากเหตุการณ์ลักษณะนี้เกิดขึ้นซ้ำๆ กับบุคลากรทางการศึกษาและในส่วนราชการ โดยเชิญภาคประชาสังคมที่มีประสบการณ์มาร่วมหาทางออกอย่างเป็นระบบ และ 4. ขอให้สื่อมวลชนนำเสนอข่าวสารโดยไม่ละเมิดสิทธิเด็ก และครอบครัวผู้เสียหาย ระมัดระวัง ไม่ตอกย้ำหรือกดทับสร้างบาดแผลทางจิตใจซ้ำเติมทั้งทางตรงและทางอ้อม
ส่วนทางนายชูวิทย์กล่าวว่า เครือข่ายฯ เป็นองค์กรที่ทำงานด้านคุ้มครองสิทธิเด็กและเยาวชน ป้องกันและแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อเด็กและเยาวชน ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง โดยกรณีนักเรียนหญิง ม.ต้น และ ม.ปลาย โรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.มุกดหาร ถูกครู 5 คนและศิษย์เก่าอีก 2 คน ข่มขืนต่อเนื่องตั้งแต่ มี.ค. 62 - มี.ค. 63 โดยพบว่ามีการถ่ายคลิปไว้เพื่อแบล็กเมล์ข่มขู่ผู้เสียหาย เหตุเกิดในพื้นที่ สภ.ผึ่งแดด ซึ่งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดมุกดาหารให้ครูทั้ง 5 คนออกจากราชการไว้ก่อน และสั่งตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง แต่ล่าสุดผู้ต้องหาทั้งหมดได้เข้ามอบตัวและรับการประกันตัวออกไป ทำให้น่าเป็นห่วงว่าผู้เสียหายและครอบครัวจะถูกข่มขู่ คุกคามเอาชีวิตหรือเสียหายต่อรูปคดี เพราะเหตุการณ์ครั้งนี้มีผู้ก่อเหตุจำนวนมาก กระทำกันเป็นขบวนการมายาวนานนับปี และอาจมีอิทธิพลมีอำนาจแฝงเข้ามาเกี่ยวข้อง
“สิ่งที่น่าเศร้าใจอีกเรื่อง คือ มุมมองความคิดของครูบางส่วนที่ปรากฏในสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งมุ่งกล่าวโทษให้ร้ายเด็ก ทั้งที่เป็นฝ่ายถูกกระทำและสื่อสารไปในทางปกป้องผู้ก่อเหตุ เสมือนว่าเรื่องแบบนี้ใครก็ผิดพลาดกันได้ ถือเป็นตรรกวิบัติที่ไม่ควรเกิดขึ้นในคนที่มีวิชาชีพครู การให้โอกาส ให้ความเมตตาลูกศิษย์ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญ ไม่ใช่การใช้อำนาจที่เหนือกว่าทั้งกายภาพและหน้าที่การงาน มาเป็นโอกาสในการข่มขืนคุกคามทางเพศ และทีมงานตั้งใจเข้าไปช่วยเหลือเด็กและครอบครัวผู้เสียหายในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมจนสุดทาง” นายชูวิพย์กล่าว