อัยการสระบุรียื่นฟ้อง 3 ผู้ต้องหา แอบนำหน้ากากอนามัยมือสอง มารีไซเคิลทำความสะอาดหลอกขายประชาชน ช่วงไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด
วันนี้ (20 เม.ย.) นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.00 น. ของวันนี้ นายธรรมภณ จิรธรรมประดับ อัยการจังหวัดสระบุรี ได้ยื่นฟ้อง น.ส.จินตนา นามวิชัย, น.ส.พิมพ์วรัญช์ จำรัสศรี และ น.ส.วีราภรณ์ ธงสันเทียะ เป็นจำเลยที่ 1-3 ข้อหา ร่วมกันประกอบกิจการที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพโดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันทุจริตโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 343 พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มาตรา 32, 37, 71 และ พ.ร.บ ความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14
คดีนี้สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 2563 เป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ทำให้ประชาชนตื่นตัว และมีความต้องการหน้ากากอนามัย หรือมาสก์ เป็นจำนวนมาก จำเลยทั้งสามได้ถือโอกาสที่ประชาชนมีความเดือดร้อนดังกล่าว ไปจัดหาหน้ากากอนามัยซึ่งมีคนใช้แล้ว และมีการนำไปทิ้งกลับมาซักและนำออกขาย ถือว่าเป็นการกระทำที่กระทบต่อความรู้สึกของประชาชนและสังคมเป็นอย่างมาก โดยเหตุเกิดในท้องที่ อ.วิหารแดง จ.สระบุรี
ถือว่าเป็นคดีสำคัญที่ประชาชน ตลอดจนสื่อมวลชนให้ความสนใจ นายธรรมภณ จิรธรรมประดับ อัยการจังหวัดสระบุรี ได้รายงานให้ นายวงศ์สกุล กิตติพรหมวงศ์ อัยการสูงสุดทราบมาตลอด โดยอัยการสูงสุดได้กำชับให้ดำเนินคดีอย่างรอบคอบ รวดเร็ว และขอให้ศาลใช้มาตรการทางกฎหมายทุกอย่าง เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในการกระทำความผิดในทำนองนี้อีก ซึ่งอัยการจังหวัดสระบุรี ได้ตั้งคณะทำงานพิจารณาสำนวนโดยมอบหมายให้ นายอักรินทร์ วินทะไชย อัยการจังหวัดประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นหัวหน้าคณะทำงานและเจ้าของสำนวน น.ส.อัยยรัตน์ ลังกาพินธุ์ อัยการจังหวัดผู้ช่วย และ เรือเอก ประกฤติ แสงอาวุธ อัยการจังหวัดผู้ช่วย เป็นคณะทำงาน
ทั้งนี้ อัยการได้บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดโดยการนำหน้ากากอนามัยเก่าที่ผ่านการใช้งานแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งของที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพและต้องมีการควบคุมการผลิตและจำหน่ายให้ได้มาตรฐานทางการสาธารณสุข เพื่อไม่ให้ก่อเกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนมาหลอกเสนอขาย ว่า เป็นหน้ากากอนามัยที่มีสภาพใหม่ ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน ทั้งเป็นการกระทำในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการขาดแคลนหน้ากากอนามัยอย่างมาก การหลอกขายหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้คุณภาพดังกล่าวของจำเลยทั้งสาม จึงเป็นการซ้ำเติมประชาชนผู้ที่ได้ผลกระทบจากสภาวการณ์ดังกล่าว เป็นการกระทำที่ไร้มนุษยธรรม มุ่งหวังเพียงประโยชน์ส่วนตนเป็นสำคัญ โดยไม่คำนึงถึงสุขภาพอนามัยของประชาชนส่วนรวมของประเทศ ว่า จะได้รับผลกระทบต่อสุภาพอนามัย เนื่องจากการใช้หน้ากากอนามัยที่ไม่มีคุณภาพของจำเลยทั้งสาม หรือไม่อย่างไร อันเป็นพฤติการณ์ร้ายแรงที่ศาลควรลงโทษสถานหนักแก่จำเลยทั้งสาม จึงขอให้ศาลลงโทษสถานหนักแก่จำเลยทั้งสามด้วย ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดจะแจ้งให้ทราบต่อไป