“รองโฆษกอัยการ” เผย ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงโทษ “เปรมชัย-คนขับรถ-นายพราน” คดี “ล่าเสือดำ” ครบถ้วนแล้ว จึงไม่ฎีกาต่อ รอ “กลุ่มเปรมชัย” ยื่นฎีกาภายในกำหนด 10 เม.ย.นี้ อัยการก็พร้อมแก้ฎีกาตามขั้นตอน
วันนี้ (12 มี.ค.) นายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาฎีกาคดีร่วมล่าเสือดำ สัตว์ป่าคุ้มครองในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฝั่งตะวันตก ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เพิ่มโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา นายเปรมชัย กรรณสูต อายุ 66 ปี ประธานบริหารและกรรมการ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) กับคนขับรถ และนายพราน รวม 3 คน ว่า ก่อนหน้านี้ อัยการได้ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาคดีดังกล่าว ซึ่งครบกำหนดการขยายเวลาฎีกาของอัยการในวันนี้ (12 มี.ค.) นั้น ปรากฏว่า อธิบดีอัยการสำนักงานคดีศาลสูงภาค 7 ได้พิจารณาประเด็นเหตุผล รวมทั้งบทลงโทษที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 มีคำพิพากษาแล้วเห็นว่าครบถ้วนตามที่อัยการฟ้องแล้ว จึงมีความเห็นไม่ยื่นฎีกาอีก ซึ่งตามขั้นตอนก็ได้ส่งความเห็นนี้ไปยัง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (ผบช.ภ.7) เพื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145/1 เมื่อช่วงต้นเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดย ผบช.ภ.7 ได้ส่งความเห็นกลับมาแล้วว่า เห็นตรงตามอัยการ ดังนั้น ความเห็นจึงเป็นที่ยุติแล้วว่าไม่ฎีกาเกี่ยวกับผลคดีดังกล่าวอีกต่อไป ซึ่งวันนี้ (12 มี.ค.) ที่ครบกำหนดระยะขยายฎีกาในส่วนของโจทก์นั้น พนักงานอัยการจังหวัดทองผาภูมิ ก็ได้เดินทางไปยืนยันต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิแล้วว่าอัยการโจทก์ ไม่ฎีกาคดี อย่างไรก็ดี ในส่วนที่มีข่าวว่า ฝ่ายจำเลยยื่นขอขยายเวลาฎีกาไปแล้วนั้น สุดท้ายหากเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นฎีกาของจำเลย อัยการโจทก์ก็จะพิจารณาแก้ประเด็นฎีกาซึ่งเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนความคืบหน้าการยื่นฎีกาของกลุ่มจำเลยนั้น นายเปรมชัย กับพวกได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดทองผาภูมิ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกาคดีดังกล่าวเป็นครั้งที่ 3 ซึ่งศาลพิจารณาให้ขยายเวลาได้อีกครั้ง ถึงวันที่ 10 เม.ย.นี้ โดยระหว่างรอยื่นฎีกาสู้คดีนี้ นายเปรมชัย, คนขับรถ และนายพราน ได้ประกันตัวไปคนละ 1 ล้านบาท พร้อมการติดกำไลข้อเท้า EM และเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากศาล โดยระหว่างประกันนี้ นายเปรมชัยกับพวกจะต้องเดินทามารายงานตัวต่อศาลทุก 1 เดือนด้วย
ทั้งนี้ สำหรับคดีร่วมล่าเสือดำ ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวรฯ นี้ ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. 62 ซึ่งพิพากษาแก้ เป็นเพิ่มโทษจำคุกโดยไม่ให้รอลงอาญา นายเปรมชัย จำเลยที่ 1 กำหนด 2 ปี 14 เดือน (จากเดิมศาลชั้นต้นจำคุก 16 เดือน), นายยงค์ โดดเครือ อายุ 68 ปี คนขับรถและคนใกล้ชิดนายเปรมชัย จำเลยที่ 2 กำหนด 2 ปี 17 เดือน (จากเดิมศาลชั้นต้นจำคุก 13 เดือน) และ นายธานี ทุมมาศ หรือ พรานแกละ อายุ 59 ปี นายพรานนำนายเปรมชัย เข้าป่า จำเลยที่ 4 มีกำหนด 2 ปี 21 เดือน (จากเดิมศาลชั้นต้น จำคุก 2 ปี 17 เดือน) ตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง, พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 มาตรา 16, 19 วรรคหนึ่ง, 36, 47, 53, 55 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 80, 83 พ.ร.บ.อาวุธปืนเครื่องและกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ฐานร่วมกันทําให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ, ร่วมกันล่าสัตว์ป่า (เสือดำ สัตว์ป่าคุ้มครอง) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (ไก่ฟ้าหลังเทา) โดยไม่ได้รับอนุญาต, ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับใบอนุญาต และนายพราน ยังมีโทษฐานพยายามล่าสัตว์ป่า (กระรอก) ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าด้วย
ส่วน นางนที เรียมแสน อายุ 46 ปี แม่ครัว จำเลยที่ 3 จำคุกมีกำหนด 1 ปี 8 เดือน และปรับ 40,000 บาท ฐานร่วมกันทําให้เสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ, ร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งซากสัตว์ป่าคุ้มครอง (เสือดำ) โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยโทษจำคุกของแม่ครัวจำเลยที่ 3 ให้รอการลงโทษไว้ 2 ปีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น (จากเดิมศาลชั้นต้นจำคุก 4 เดือน และปรับ 10,000 บาท ฐานร่วมกันมีซากสัตว์ป่าคุ้มครองเสือดำและไก่ฟ้าหลังเทา ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และยกฟ้อง 3 ข้อหาเกี่ยวกับความผิดอาวุธปืน)
โดยศาลอุทธรณ์ภาค 7 ยังมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช จำนวน 2 ล้านบาท (มูลค่าความเสียหายเสือดำ) พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.พ. 2561 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหน้าที่พบการกระทำผิด (จากเดิมให้จำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมชดใช้) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดแก่ผู้ร้องด้วย