xs
xsm
sm
md
lg

ตร.เคลียร์ปมดรามา ยึดหน้ากากอนามัย สาวตั้งใจบริจาค รพ.ยันทำตาม กม.เหตุร้านขายเกินราคา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - รองโฆษก ตร. แจงประเด็นร้อนทางโซเชียล สาวสั่งหน้ากากอนามัยจากร้านขายยา จะนำไปบริจาคให้โรงพยาบาล โดนตำรวจยึด ยืนยันร้านขายเกินราคา ตำรวจจำเป็นต้องยึด แนะไปซื้อกับกรมการค้าภายใน

วันนี้ (9 มี.ค.) พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึงกรณีที่มีการแชร์เรื่องราวของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่ง โพสต์เรื่องราวของน้องสาว รวบรวมเงินกับเพื่อนสั่งหน้ากากอนามัยจากร้านขายยา ที่นำเข้ามาจากประเทศเวียดนาม จำนวน 25,000 ชิ้น ราคาชิ้นละ 14.50 บาท เพื่อนำไปบริจาคตามโรงพยาบาลที่ขาดแคลน แต่ถูกตำรวจเข้าตรวจค้นร้านขายยา และยึดหน้ากากอนามัยไป ซึ่งมีการวิพากษ์จารณ์กันอย่างกว้างขวางในโลกโซลเชียลมีเดีย ว่า สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 5 มี.ค. 2563 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้รับการประสานงานจาก เจ้าหน้าที่กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ว่า ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนทั่วไป ว่า ที่ร้านขายยาแห่งหนึ่ง ในเขตพื้นที่รับผิดชอบของ สน.เตาปูน มีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาสูงเกินควรให้กับประชาชน จึงได้ร่วมกันเดินทางไปตรวจสอบที่ร้านดังกล่าว

พ.ต.อ.กฤษณะ กล่าวว่า เมื่อเดินทางไปถึงพบพนักงานประจำร้าน ทำหน้าที่ขายสินค้า ทางเจ้าหน้าที่กรมการค้าภายในและเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม จึงทำการติดต่อซื้อหน้ากากอนามัย ทั้งแบบธรรมดา และ เอ็น 95 คาร์บอน จำนวนหนึ่ง ตามราคาที่พนักงานขายสินค้าตั้งราคาจำหน่ายไว้ เมื่อได้สินค้าเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตนให้กับพนักงานขายสินค้า และแจ้งความประสงค์ตรวจสอบหน้ากากอนามัยที่วางจำหน่ายอยู่ภายในร้าน และหน้ากากอนามัยที่เก็บอยู่ภายในร้านดังกล่าว ซึ่งขณะตรวจสอบนั้นได้มีเจ้าของร้านค้าสถานที่ดังกล่าว มาแสดงตนเป็นเจ้าของและเป็นผู้นำตรวจสอบ ซึ่งจากการตรวจสอบพบหน้ากากอนามัย จำนวน 15 ชนิด มีจำนวนทั้งหมด 21,639 ชิ้น ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมมีไว้เพื่อจำหน่ายอยู่ภายในร้าน

“ทางเจ้าของร้านได้แจ้งกับพนักงานเจ้าหน้าที่ ว่า สินค้าดังกล่าวเป็นของตนซึ่งมีไว้เพื่อจำหน่ายให้กับประชาชนทั่วไปจริง และได้จำหน่ายไปแล้วบางส่วน พนักงานเจ้าหน้าที่ จึงแจ้งให้เจ้าของร้านทราบว่าการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดฐานจำหน่ายสินค้าที่ควบคุม (หน้ากากอนามัย) ในราคาสูงเกินควร ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. 2542 มีโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี หรือปรับไม่เกิน 140,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ” รองโฆษก ตร.ระบุ

รองโฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า สำหรับประเด็นที่ผู้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กดังกล่าวนั้น เป็นคนละประเด็นกันกับการจับกุมเจ้าของร้านที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา ซึ่งผู้โพสต์อ้างว่าเป็นพี่สาวของผู้ติดต่อซื้อหน้ากากอนามัยกับทางร้าน ที่ถูกพนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจยึดและเจ้ากุมไป โดยภายหลังได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวน สน.เตาปูน ว่า ทางเจ้าของร้าน และ ผู้ติดต่อซื้อหน้ากากอนามัย ดังกล่าว ได้มีการติดต่อคืนเงินที่สั่งซื้อหน้ากากอนามัยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประกอบกับทางพนักงานสอบสวน ได้แนะนำให้ทางผู้ติดต่อซื้อหน้ากากอนามัยกับทางร้าน เพื่อที่จะนำไปบริจาคนั้น ติดต่อซื้อหน้ากากอนามัยกับทางกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เนื่องจากจะได้รับสินค้าที่มีคุณภาพ ในราคามาตรฐาน อีกทั้งต่อมาผู้โพสต์ข้อความดังกล่าว ก็ได้ลบข้อความออกเฟซบุ๊กไปแล้ว ซึ่งก็ขอให้ประชาชนโปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟังข้อมูลจากทางโซเชียลมีเดีย โดยประกอบกับข้อมูลข่าวสารจากทางราชการ เพื่อป้องกันความสับสนและตื่นตระหนก

ในส่วนหน้ากากอนามัยที่ตรวจยึดนั้น ในชั้นพนักงานสอบสวน ไม่สามารถดำเนินการคืน หรือ ดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใดได้ เนื่องจากเป็นของกลางในคดีอาญา ซึ่งพนักงานสอบสวน ยังคงต้องรอคำพิพากษาของศาลถึงที่สุด ก่อนที่จะให้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องอย่างไรต่อไป

“ขอประณามกลุ่มผู้ที่ฉวยโอกาส ในช่วงสถานการณ์แบบนี้ เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการค้า ไร้ซึ่งคุณธรรม และจรรยาบรรณ นำหน้ากากอนามัยที่ใช้งานแล้วมาออกจำหน่าย หรือแม้แต่ดัดแปลง สภาพ คุณภาพ หน้ากากอนามัย ฉกฉวยโอกาสจำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินราคา เอารัดเอาเปรียบประชาชน เป็นเหตุให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน”

ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กำชับตำรวจทั่วประเทศ นอกเหนือจาก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลัก ในการให้ความร่วมมือและประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สืบสวน จับกุม ปราบปราม อย่างเด็ดขาด มิให้มีผู้ใดฉวยโอกาสและซ้ำเติมพี่น้องประชาชนได้อีก หากประชาชนพบหรือมีข้อมูลว่าพื้นที่ใดมีการจำหน่ายหน้ากากอนามัยในราคาที่สูงเกินสมควร สามารถร้องเรียนหรือแจ้งเบาะแสได้ ที่ สายด่วน บก.ปคบ. โทร. 1135 หรือติดต่อทาง www.cppd.go.th หรือ สถานีตำรวจในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ที่ สายด่วน 191
กำลังโหลดความคิดเห็น