(Police Focus)
เป็นที่ต้องการและมีราคาสูงตั้งแต่สถานการณ์ฝุ่นพิษ PM 2.5 จนเข้ามาสู่ช่วงไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่กำลังแพร่ระบาดยิ่งทำให้ “หน้ากากอนามัย” สินค้ายอดฮิตขาดตลาด กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ จึงร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) สืบสวนติดตามจับกุมร้านค้าที่ขายเกินราคา สร้างความเจ็บปวดให้ประชาชนอย่างหนัก โดยในช่วงระยะเวลา 1 เดือน สามารถจับกุมผู้กระทำผิดพร้อมของกลางมาสก์มูลค่าเกือบ 3 แสนบาท
ตำรวจ ปคบ.ภายใต้ พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชาวนาศัย ผบก.ปคบ. ในยุควิกฤตขาดแคลนหน้ากากอนามัย ได้มีมาตรการโดยแยกเป็น 2 ส่วน 1. จัดชุดปฏิบัติการ 6 ชุด ร่วมกับกรมการค้าภายใน ออกสุ่มตรวจร้านเป้าหมายที่ได้รับการร้องเรียน ที่ผ่านมามีผลการปฏิบัติการทุกวัน 2. สืบสวนจับกุมทางออนไลน์ เริ่มมีมิจฉาชีพเปิดเว็บไซต์หรือเฟซบุ๊ก ประกาศขายหน้ากากในราคาถูก เมื่อประชาชนโอนเงินไปแล้วกลับปิดหนี
พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าเป็นเรื่องการเห็นแก่ตัวของกลุ่มบางกลุ่มที่ฉาบฉวยโอกาสแสวงหาผลประโยชน์ให้องค์กรหรือตัวเอง เป็นช่วงที่ประชาชนต้องการเนื่องจากตื่นตระหนก ทางรัฐบาลพยายามดำเนินการเพื่อให้หน้ากากเพียงพอ ควรจะเป็นช่วงที่ทุกคนต้องร่วมมือกันมากกว่า แต่ตราบใดยังมีกลุ่มคนพวกนี้อยู่ ปคบ.ก็ต้องดำเนินการปราบปรามต่อไป
แต่ในขณะที่เรากำลังไล่จับอยู่นั้นก็ไม่รู้ว่าหน้ากากหายไปไหนหมด สมมติโรงงานผลิตได้วันละ 1 ล้านชิ้น ในจำนวน 5 แสนชิ้น หน้ากากจะถูกส่งไปยังยี่ปั๊ว และอีก 5 แสนชิ้น ต้องส่งมาที่กรมการค้าภายใน เพื่อกระจายไปตามแหล่งต่างๆ ทั่วประเทศผ่านร้านธงฟ้า ให้ประชาชนสามารถซื้อได้ในราคาไม่เกินชิ้นละ 10 บาท เพราะมีต้นทุนแค่ 2 บาท ถ้าจำหน่ายได้จำนวนเท่านี้จริงทุกวัน ผมว่าประชาชนทุกคนต้องเดินเข้าไปซื้อได้
“ตอนนี้เรากำลังสงสัยว่าโรงงานแจ้งกระทรวงพาณิชย์ผลิตได้วันละ 5 แสนชิ้น แต่จริงแล้วผลิต 1 ล้านชิ้น ส่งให้กรมการค้าภายใน 2.5 แสนชิ้น ขาย 2 บาท ส่งให้ยี่ปั๊ว 2.5 แสนชิ้น ขาย 2 บาท แล้วอีก 5 แสนชิ้น มาขายทางออนไลน์เองในราคาแพงหรือไม่ มองได้ 2 มิติ คือ ประชาชนตื่นตระหนกไปเฝ้าซื้อกักตุนไว้ที่บ้าน หรือเมื่อกระจายไปแล้วมีจำนวนน้อยเกินไป ทำให้ประชาชนไม่สามารถหาซื้อได้ ถ้าซื้อก็ได้ในราคา 20 บาท ซึ่งเกินจากที่กำหนดไว้ การกักตุนมีความผิดหากปฏิเสธการขายด้วย เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างดำเนินการในส่วนนี้”
ผบก.ปคบ.กล่าวต่อว่า ผมเคยเห็นขายแพงที่สุดชิ้นละ 25 บาท แต่ตอนนี้กฎหมายบังคับว่า ผู้ประกอบการผลิตและนำเข้าหน้ากากอนามัย ต้องขายต่อให้กระทรวงพาณิชย์ชิ้นละ 2 บาท กรมการค้าภายในจะนำไปขายต่อ 2.50 บาท หรือ 3 บาท หรือยี่ปั๊วมารับแล้วไปขายต่อ 5 บาท ราคาจริงๆ กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้กำหนดไว้ แต่จะมีราคาให้เทียบเคียงในแต่ละชนิด จึงเน้นว่าหน้ากากอนามัยแบบธรรมดาต้องขายไม่เกิน 10 บาท
สำหรับบทลงโทษ “จำหน่ายสินค้าควบคุมในราคาสูงเกินควร” มีความผิดตามมาตรา 29 พ.ร.บ.สินค้าและบริการ โทษจำคุก 7 ปี ปรับ 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และยังพบว่ามีการลักลอบจำหน่ายหน้ากากมือสองด้วย หากพบเจ้าหน้าที่ทำการจับกุมทันที ผมมองว่าเป็นการตอกย้ำซ้ำเติมประชาชนเข้าไปอีก รวมถึงหน้ากากบางราวกับกระดาษทิชชู ไม่เพียงเป็นการฉวยโอกาสแต่เป็นลักษณะหัวหมอมากกว่า
“ขอฝากเตือนคนขายว่าในชั่วโมงอย่างนี้ไม่อยากให้ฉวยโอกาส ไม่ว่าบริษัท ห้างร้าน หรือผู้ประกอบการก็ตาม ในการทำกำไรกับพี่น้องประชาชน เป็นช่วงที่ประชาชนคนไทยควรต้องช่วยเหลือกัน และทำให้สิ่งต่างๆ อยู่ในสภาพปกติ”
ผู้การต่อ บอกด้วยว่า นอกจากเรื่องมาสก์ที่ กก.1 รับบทบาทอยู่ในขณะเดียวกัน ปคบ.ได้เดินหน้าปราบปรามจับกุมหน้างานอื่นอย่างต่อเนื่อง โดย กก.2 รับผิดชอบเรื่องปุ๋ยและวัตถุอันตรายทางการเกษตร ช่วงนี้ปุ๋ยปลอมกำลังแพร่ระบาดหนัก กก.3 รับผิดชอบเรื่องมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น ท่อไอเสียของรถแต่งซิ่ง และ กก.4 รับผิดชอบเรื่องอาหารและยา และสถานบริการต่างๆ เป็นงานหนักของ ปคบ.เลยก็ว่าได้
ช่วงแรกที่มารับตำแหน่ง ผบก.ปคบ. ได้นั่งศึกษางานในความรับผิดชอบของ ปคบ.ซึ่งค่อนข้างกว้างสำหรับการดูแลประชาชน ในเรื่องการบริโภคสินค้าและการบริการ ยอมรับกังวลแต่พออยู่แล้วพยายามตั้งหลัก ปคบ.ในยุคผมได้ให้นโยบายโดยเน้นย้ำ ผกก.และลูกน้องทุกคน คือ 1. ความสามัคคีและสวัสดิการ 2. ทำงานเพื่อมุ่งเน้นผลประโยชน์ของประชาชนในส่วนรวม ไม่เป็นผลประโยชน์ของคนใดคนหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เพราะบางทีเป็นการจ้องทำร้ายกันทางธุรกิจ
“และ 3. ด้านการปราบปรามในฐานะที่ ปคบ.อยู่ในสังกัด บช.ก.ผมเน้นทำเฉพาะเคสใหญ่ๆ มีความซับซ้อน ผมได้ให้การบ้าน ผกก.แต่ละคนไปแล้ว ส่วนหนึ่ง บช.ก.มีกำลังพล บก.ละประมาณ 200 คน ดูแลทุกหน้างานและทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ดีกว่าไปไล่จับรายย่อยซึ่งไม่เกิดประโยชน์ มาระดมสรรพกำลังจับกุมที่เป็นต้นเหตุ หรือสาเหตุของปัญหาจะดีกว่า ซึ่งการจับกุมมาสก์ก็พยายามปรับกลยุทธ์ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของผมด้วย”
สำหรับประวัติ พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ พื้นเพเป็นชาว จ.นครปฐม พ่อแม่เคยบอกว่าตอนเด็กเป็นคนไม่ยอมคน และไม่ชอบความไม่ยุติธรรมหรือการเอาเปรียบ เลือกสอบเข้าตำรวจ จบ นรต.รุ่น 47 รับราชการครั้งแรก รอง สว.งาน 1 กก.2 บก.ปอศ. รอง สว.นโยบายและแผน บก.ท. นายเวร ผบก.สก. สว.งาน 4 กก.2 สก. สว.งาน 5 กก.2 สก. สว.งาน 1 กก.กพ.บก.อก.บช.ก. สว.ส.ทล.2 กก.3 บก.ทล. รอง ผกก.ฝอ.1 บก.อก.บช.ก. รอง ผกก.3 บก.ทล. ผกก.ฝอ.1 บก.อก.บช.ก. ผกก.ฝอ.1 บก.อก.ภ.2 รอง ผบก.อก.ภ.2 รอง ผบก.ทล. ผบก.อก.บช.ก.และ ผบก.ปคบ.
ลูกหม้อสอบสวนกลางวัย 49 ปี เล่าความประทับใจในอาชีพตำรวจว่า สมัยเป็นนักเรียน นรต.ทุกคนออกมาในเบ้าหลอมเดียวกันทั้งหมด แต่พอออกมาแล้วมันมีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่าง ทำให้เปลี่ยนแปลงไปตามลักษณะของแต่ละบุคคล ก็เป็นเรื่องของสัมคมในปัจจุบัน มองย้อนไปถึงปี 4 ผมว่าทุกคนมีความรู้สึกเดียวกัน คือ อยากรับใช้ประชาชน อยากเป็นตำรวจที่ดี ถ้าได้ดูแลพี่น้องประชาชนด้วยการจับกุมคนร้าย และได้รับคำชื่นชมแค่นี้ผมมองว่างานสำเร็จแล้ว.