กองปราบรวบ อดีต สท.หลังสวน จ.ชุมพร หนีโทษประหาร หลังคบชู้เมียเศรษฐีฮอลแลนด์ ฆ่าทุบหัวหวังฮุบมรดกร้อยล้าน
วันนี้ (19 ก.พ.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.เนติ วงษ์กุหลาบ ผกก.5 บก.ป. พ.ต.ท.นิธิ ตรีสุวรรณ สว.กก.5 บก.ป. ร่วมแถลงผลจับกุม นายอนุพงศ์ สุทธานี อายุ 54 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดพัทยา ที่ 1034/2550 ลงวันที่ 21 ธ.ค. 2550 ข้อหา “ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน” ได้ในพื้นที่ ม.2 ต.วังธง อ.เมือง จ.แพร่
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวว่า เมื่อปี 2546 นายอนุพงศ์ ผู้ต้องหารายนี้ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกเทศบาลหลังสวน จ.ชุมพร ได้รับเหมาก่อสร้างบ้านพักให้กับ นายจูลส์ โอเดอะเกริกเก้น อายุ 49 ปี ชาวฮอลแลนด์ เจ้าของหนังสือพิมพ์ต่างประเทศควิกนิวส์ พัทยา และ นิวส์ภูเดย์ วางจำหน่ายอยู่ในพื้นที่เมืองพัทยา และ จ.ภูเก็ต ซึ่งได้มาใช้ชีวิตบั้นปลายแต่งงานอยู่กินกับ น.ส.มาริสา หรือ อ้อย พรหมณะ อายุ 37 ปี สาวชาวไทย อยู่ในพื้นที่ เมืองพัทยา จ.ชลบุรี จนมีบุตรสาวด้วยกัน 1 คน แต่ระหว่างนั้นนายอนุพงศ์ กลับแอบคบชู้และมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ น.ส.มาริสา ภรรยา ของผู้ตาย ก่อนทราบว่าผู้ตายได้ทำประกันชีวิตและมีทรัพย์สินและมรดกรวมมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท จึงได้ร่วมกันสมคบคิดกับ น.ส.มาริสา และ นายเศกสรรค์ พรหมณะ พี่ชายของ น.ส.มาริสา วางแผนฆ่านายจูลส์ เพื่อหวังครอบครองเงินดังกล่าวทั้งหมด
พล.ต.ต.จิรภพ กล่าวต่อว่า จากนั้นเมื่อวันที่ 16 พ.ย.2546 นายอนุพงศ์ และนายเศกสรรค์ สบโอกาสเมื่อนายจูลส์ ยืนอยู่เพียงลำพัง จึงใช้ไม้รุมตีจนสลบ พร้อมกับใช้เชือกรัดคอจนแน่นิ่งและเข้าใจว่าเสียชีวิตแล้ว จึงได้ช่วยกันยกร่างของนายจูลส์ ขึ้นรถเพื่อนำไปไปทิ้งอำพราง แต่ระหว่างทางนายจูลส์เกิดฟื้นคืนสติขึ้นมาพร้อมกับตะโกนร้องขอความช่วยเหลือ นายอนุพงศ์และนายเศกสรรค์ จึงได้ช่วยกันใช้ก้อนหินทุบหัวซ้ำจนเสียชีวิตคาที่ ก่อนนำศพไปโยนทิ้งไว้ที่กองขยะแห่งหนึ่งภายในซอยกรีนเวย์ อ.เมือง จ.ชลบุรี จนกระทั่งมีผู้มาพบศพดังกล่าว อย่างไรก็ตามภายหลังเกิดเหตุได้ไม่นานเจ้าหน้าที่สามารถติดตามจับกุมตัว ผู้ร่วมก่อเหตุทั้งหมดได้ ซึ่งน.ส.มาริสา และ นายเศกสรรค์ ยอมให้การรับสารภาพ ศาลจึงตัดสินจำคุกตลอดชีวิต มีเพียง นายอนุพงศ์ ผู้ต้องหารายนี้ที่ยังคงยืนกรานปฏิเสธพร้อมกับยื่นเรื่องขอรับการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อสู้คดี กระทั่งวันที่ 21 ธ.ค. 2550 ซึ่งเป็นวันนัดฟังคำพิพากษาทางคดี และมีคำตัดสินพิพากษาลงโทษประหารชีวิต แต่ผู้ต้องหาไม่ยอมมารับฟังผลทางคดี จึงได้ออกหมายจับดังกล่าว
ด้าน พ.ต.อ.เนติ กล่าวว่า ช่วงระหว่างที่หลบหนี นั้นนายอนุพงศ์ ได้พยายามหลบหนีไปอยู่ตามพื้นที่จังหวัดต่างๆ พร้อมกับตัดขาดญาติพี่น้อง มีการเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่ทั้งหมด ก่อนจะหลอกใช้คนอื่นไปเป็นเป็นตัวแทนซื้อที่ดินในพื้นที่ จ.แพร่ ให้เพื่อใช้หลบซ่อนตัวหนีคดีมาเป็นเวลากว่า 10 ปี จนกระทั่งมาถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบติดตามจับกุมตัวได้ดังกล่าว ทั้งนี้จากการสอบสวน นายอนุงพงศ์ ให้การรับสารภาพและสำนึกในความผิดที่ได้ก่อขึ้น พร้อมที่จะรับโทษตามกฎหมาย เบื้องต้นจึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับก่อนนำตัวส่งศาลจังหวัดพัทยา ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป