MGR online - “ป๋านัส-ป๋าต้น” 2 คนเชียร์แขก อาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเครท” กุมขมับ ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษให้จำคุก 122 ปี 6 เดือน แต่ให้จำคุกสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 91 เป็นจำคุกคนละ 50 ปี ขณะเดียวกันยังให้ชดใช้เงินกับผู้เสียหายสองรายสัญชาติเมียนมาคนละ 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (19 พ.ย.) ห้องพิจารณา 716 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 09.00 น. ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีค้ามนุษย์สถานบริการอาบอบนวด “วิคตอเรีย ซีเครท” คดีหมายเลขดำ คม.24/2561 ที่พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายมนัสหรือ"ป๋านัส" อ่วมทับ อายุ 49 ปี และนายสมชายหรือ"ป๋าต้น"แสงอุดม อายุ 53 ปี ซึ่งเป็นพนักงานเชียร์แขก ในความผิดฐานร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานค้ามนุษย์เพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณีโดยบังคับขู่เข็ญ , เป็นธุระจัดหา ชักพาไปหญิงสาวอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี เพื่อสนองความใคร่ผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 , พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 , พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541
คำฟ้องระบุว่า เมื่อเดือน ธ.ค. 2560 จนถึง 12 ม.ค.2561 จำเลยทั้ง 9 กับพวกสมคบกัน โดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์ โดยตกลงวางแผนและแบ่งหน้าที่กันทำ เพื่อเป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไป ผู้เสียหายเป็นหญิงสาวรวม 9 ราย ทั้งคนไทยและคนเมียนมา ซึ่งอายุ15 ปีแต่ไม่เกิน 18 ปี โดยร่วมกันให้ผู้เสียหาย ทำการค้าประเวณีที่สถานอาบอบนวด วิคตอเรีย ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กทม เพื่อให้ผู้เสียหาย กระทำการค้าประเวณี ยอมรับการกระทำชำเราหรือยอมรับการกระทำอื่นใดเพื่อสนองความใคร่หรือสำเร็จความใคร่ทางกามารมณ์ของผู้อื่น อันเป็นการสำส่อนประพฤติตนไม่สมควรเพื่อสินจ้างหรือประโยชน์อื่นใด เพื่อที่จำเลยกับพวกจะได้แสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีของผู้เสียหายที่เป็นเด็ก แม้ผู้เสียหายยินยอมก็ตาม
ซึ่งเดิมทั้งสองยื่นฟ้องร่วมกับ “นายศรัทธาธรรม หรือป๋าติ๊ก แจ้งฉาย” อายุ 67 ปี ผู้จัดการสถานบริการอาบอบนวด กับพวกรวม 9 คน เมื่อเดือน เม.ย.2561 แต่ชั้นพิจารณามีเฉพาะ “นายมนัสหรือป๋านัส” และ “นายสมชายหรือป๋าต้น” ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ส่วน“นายศรัทธาธรรม หรือป๋าติ๊ก” ผู้จัดการสถานบริการ กับพวกจำเลยที่เหลืออีก 7 รายให้การปฏิเสธขอต่อสู้คดีจึงแยกสำนวนฟ้อง
โดยศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 ก.ย.2561 เห็นว่า “นายมนัส หรือป๋านัส” และ “นายสมชาย หรือป๋าต้น” มีความผิดฐานเป็นผู้ดูแลกิจการค้าประเวณี และเป็นธุระจัดหาฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา (ป.อ.) มาตรา 282 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 283 ทวิ วรรคหนึ่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 11 วรรคสอง และฐานสมคบทำผิดค้ามนุษย์แสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีฯ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 มาตรา 6,9 วรรคหนึ่ง วรรคสอง , 52 วรรคหนึ่ง วรรคสอง จำคุก คนละ 46 ปี โดยรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกไว้ 22 ปี 12 เดือน
โดยคดีนี้ทั้งอัยการโจทก์และจำเลยได้ยื่นอุทธรณ์ให้ลงโทษสถานเบาหรือรอการลงโทษด้วย วันนี้ศาลได้เบิกตัวจำเลยทั้งสอง มาจากเรือนจำพิเศษกุรงเทพฯ
โดยศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์ตรวจสำนวนและประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ในข้อหาที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยทั้งสอง ฐานเป็นผู้ดูแลหรือผู้จัดการกิจการ สถานค้าบริการประเวณีฯซึ่งมีบุคคลอายุ 15แต่ไม่เกิน18 ปี จำคุก 2 ปี 6 เดือน นั้นความผิดในส่วนนี้คู่ความไม่ได้ยื่นอุทธรณ์คดีส่วนนี้จึงถึงที่สุดแล้ว
ส่วนที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ว่าคดีนี้เป็นคดีที่เกี่ยวพันคดีของนายศรัทธาธรรม แจ้งฉาย หรือป๋าติ๊ก ซึ่งเป็นผู้จัดการสถานบริการ"วิคตอเรีย ซีเครท"กับพวกรวม 7 คน ที่พนักงานอัยการคดีค้ามนุษย์ได้ยื่นฟ้องและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาเป็น คดีหมายเลขแดง คม. 53/2561 (คดีหมายเลขดำ คม. 26/2561)ที่เรียกว่าเหตุลักษณะคดี(เป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วมีผลถึงจำเลยคนอื่นด้วย) โดยเมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องจำเลยทั้ง 7 ในข้อหาสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกระทำความผิดค้ามนุษย์ด้วยการค้าประเวณี โดยลงโทษเฉพาะข้อหาเป็นธุระจัดหาบุคคลฯ เพื่อสนองความใคร่และค้าประเวณี คดีของจำเลยทั้งสอง จึงต้องยกฟ้องในข้อหาดังกล่าวด้วย
ศาลอุทธรณ์ฯเห็นว่าการจะพิจารณาแล้วเห็นการจะพิจารณานั้นก็ต้องดูรูปเรื่องทั้งหมดซึ่ง คดีของจำเลยทั้งสอง อัยการโจทก์ก็ได้บรรยายพฤติการณ์ฟ้องและนำสืบพยานหลักฐานจนฟังได้ว่า ร่วมกันกระทำผิดฐานโดยสมคบตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหาบุคคลฯ สนองความใคร่ผู้อื่น และที่จำเลยทั้งสอง อุทธรณ์ขอให้พิจารณาลงโทษสถานเบาหรือรอลงโทษนั้นศาลอุทธรณ์เห็นว่า พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสอง ที่โจทก์ฟ้องนั้นได้กระทำผิดต่อบุคคลจำนวนมาก ซึ่งเป็นการแสวงหาประโยชน์จากบุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี จากการค้าประเวณีอีกทั้งยังเป็นการกระทำที่อุกอาจ ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงฟังไม่ขึ้น โดยอุทธรณ์ของอัยการโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีค้ามนุษย์จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิ่มโทษรายกระทงเป็น 2-10 ปี(จากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา กระทงละ2-5ปี) โดยข้อหาที่โทษหนักที่สุดคือสมคบกันตั้งแต่2 คนขึ้นไปค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณีและเป็นธุระจัดหา บุคคลอายุ 15 แต่ไม่เกิน 18ปีฯ จำคุก 7 กระทงๆละ 10 ปี เป็นจำคุก 70 ปี โดยรวมกับโทษ ฐานเป็นธุระจัดหาบุคคลให้ค้าประเวณีโดยขู่เข็ญฯ และข้อหาอื่นอีกหลายกระทง รวม จำคุก นายมนัส หรือป๋านัส และนายสมชาย หรือ ป๋าต้น ทั้งสิ้น 120 ปี จำเลยรับสารภาพเหลือโทษจำคุก 60 ปี โดยรวมกับที่ศาลชั้นต้นลงโทษฐานเป็นผู้ดูแลสถานค้าประเวณีฯ 2 ปี 6 เดือน เป็นจำคุก 62ปี 6 เดือน แต่เมื่อรวมโทษจำคุกทุกกระทงแล้วให้จำคุกสูงสุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 เป็นจำคุกคนละ 50 ปี และพิพากษาให้จำเลยทั้งสอง ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้กับผู้เสียหายสองรายสัญชาติเมียนมาคนละ 80,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันฟ้อง 21 เม.ย. 2561 (เดินศาลชั้นต้นยกคำขอชดใช้ค่าสินไหมทดแทน) นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศภายหลังศาลอ่านคิดพิพากษาที่โทษสูงขึ้น นายมนัสถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับ หน้าตาเคร่งเครียด ญาติๆ ต่างแสดงความเสียใจ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ "ป๋าติ๊ก" ผู้จัดการสถานบริการนั้นได้ถูกยื่นฟ้อง 2 คดี ซึ่งศาลมีคำพิพากษาไปแล้วตั้งแต่ปี 2561 จำคุก 2 สำนวนเป็นเวลาทั้งสิ้น 18 ปี 16 เดือน โดยยกฟ้องในข้อหาสมคบค้ามนุษย์ฯซึ่งคดีอยู่ระหว่างอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์พร้อมกับจำเลยร่วมคนอื่นๆ
ส่วนนายกําพล วิระเทพสุภรณ์ หรือเสี่ยกำพล เจ้าของสถานบริการ"วิคตอเรีย ซีเครท" ที่อัยการมีคำสั่งฟ้องว่าร่วมกระทำผิดด้วยนั้นปัจจุบันยังติดตามตัวมายื่นฟ้องไม่ได้ ซึ่งคาดว่าจะหลบหนีคดีโดยพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ได้ขอศาลออกหมายจับไว้แล้ว ซึ่งมีอายุความติดตามตัวมาฟ้องคดีภายใน 20 ปี