MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้องคดี “ทักษิณ ชินวัตร” ฟ้อง “เทพไท เสนพงศ์” หมิ่นประมาท กรณีแถลงข่าวเมื่อปี 49 ว่าอดีตนายกฯ บริหารประเทศแบบซีอีโอ เป็นผีปอบพยายามกลับคืนร่าง ระบุเป็นการตอบโต้ทางการเมือง แสดงความคิดเห็นติชมด้วยความเป็นธรรม
ที่ห้องพิจารณา 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันนี้ (27 มิ.ย.) ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีหมายเลขดำที่ อ.1923/2549 ที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มอบอำนาจให้นายนพดล มีวรรณะ ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องพรรคประชาธิปัตย์ และนายเทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตโฆษกส่วนตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326, 328, 332
โจทก์ฟ้องระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 17-19 พ.ค. 2549 นายเทพไท จำเลยที่ 2 ได้แถลงข่าว ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ยุครัฐบาลทักษิณลาออก โดยกล่าวทำนองว่าบริหารประเทศแบบซีอีโอ ที่มีรัฐมนตรีเป็นเพียงผู้ช่วยทำงาน และยังได้กล่าวเปรียบเทียบนายทักษิณเหมือนผีปอบที่ออกจากร่างแล้วกลับเข้าร่างไม่ได้ และพยายามทุกวิถีทางเพื่อกลับเข้าสู่ร่างเดิม กรณีประกาศยุบสภาแล้วจัดเลือกตั้งใหม่และพยายามกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 ส.ค. 2558 ให้ยกฟ้อง เนื่องจากทางนำสืบฟังข้อเท็จจริงได้ว่า โจทก์ได้ประกาศยุบสภาต้นปี 2549 และมีการกำหนดวันเลือกตั้ง วันที่ 2 เม.ย. 2549 แต่ต่อมาตุลาการรัฐธรรมนูญก็ได้วินิจฉัยว่าการเลือกตั้งดังกล่าวไม่สุจริต ดังนั้น การกระทำเป็นการนำข้อมูลข่าวสารมาเผยแพร่อันเป็นวิสัยที่กระทำได้ การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดหมิ่นประมาท
จากนั้นโจทก์ยื่นอุทธรณ์ โดยศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนเมื่อวันที่ 20 ก.ย. 2559 ว่า โจทก์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรักษาการนายกรัฐมนตรี จึงถือเป็นบุคคลสาธารณะที่สามารถจะถูกตรวจสอบการทำงานได้ ซึ่งการกล่าวของนายเทพไท จำเลยที่ 2 เป็นการพูดจาตอบโต้กันในทางการเมือง ถือเป็นการวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็นและติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยที่สามารถกระทำได้ จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 แถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่เป็นความผิดด้วย
ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกา โดยในวันนี้นายเทพไท จำเลยที่ 2 และในฐานะที่ได้รับมอบอำนาจจากทนายความจำเลยที่ 1 เดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมนายราเมศ รัตนะเชวง ทนายความ ขณะที่โจทก์มอบอำนาจให้เสมียนทนายความมาฟังคำพิพากษาแทน
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือกันแล้วพิพากษาว่า การกระทำของนายเทพไท จำเลยที่ 2 ที่แถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นการแสดงความคิดเห็นตอบโต้กันในทางการเมือง และเป็นการติชมโดยสุจริต จึงไม่เป็นความผิดตามฟ้อง พิพากษายืน
ภายหลังนายเทพไทกล่าวว่า ศาลฎีกามีคำพิพากษายืนให้ยกฟ้องตามศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้น โดยให้เหตุผลว่าเป็นการแสดงความเห็นทางการเมือง เป็นการติชมโดยสุจริต เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความผิดตามฟ้อง คดีนี้เป็นคดีที่นายทักษิณได้ฟ้องตนและพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปี 2549 จากการที่นายทักษิณหยุดปฏิบัติหน้าที่เพื่อให้มีการเลือกตั้ง หลังจากนั้นการเลือกตั้งก็ได้เลื่อนออกไป ซึ่งนายทักษิณก็กลับเข้ามาปฏิบัติหน้าที่ต่อ ตนจึงให้ความเห็นทางการเมืองว่านายทักษิณมีพฤติการณ์เหมือนผีปอบก็เลยฟ้องหมิ่นประมาท โดยได้ต่อสู้คดีกันมานาน 12 ปี และก็ได้รับความเป็นธรรมจากศาล อย่างไรก็ตาม แม้จะผ่านมานานหลายปีแล้วแต่ก็มีคนตั้งคำถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่ากรณีที่นายทักษิณไม่ยอมรับคำพิพากษาของศาลและไม่ยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่ทำไมนายทักษิณจึงสามารถเป็นโจทก์ฟ้องคดีได้ ซึ่งก็เป็นความเห็นของคนทั่วไป