MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษายืนตามชั้นอุทธรณ์ สั่งจำคุก 2 จำเลยการ์ด กปปส.ไม่รอลงอาญาขัดขวางการเลือกตั้ง ปี 2557 ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
วันนี้ (22 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาการ์ด กปปส.ขัดขวางการเลือกตั้ง หมายเลขดำที่ อ.886/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายนวการ ขอนศรี และนายประเสริฐ ด้วงทิพย์ เป็นจำเลยที่ 1-2 ในข้อหาร่วมกันกระทำการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อมิให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถใช้สิทธิได้ฯ
กรณีเมื่อวันที่ 26 ม.ค. 2557 จำเลยทั้งสองกับพวกที่ใช้ชื่อ กปปส.ขัดขวางปิดประตูทางเข้าออกสำนักงานเขตดินแดง เพื่อไม่ให้สามารถจ่ายหีบบัตรเลือกตั้งให้กับ ผอ.ประจำที่เลือกตั้งกลางนอกเขตจังหวัด ทำให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ 6 ประกาศงดลงคะแนนเลือกตั้ง ทำให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่สามารถใช้สิทธิได้ เหตุเกิดที่แขวงและเขตดินแดง กทม. ขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.และการได้มาซึ่ง ส.ว. พ.ศ. 2550 มาตรา 76, 152 และให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของจำเลยทั้งสอง 5 ปี โดยจำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งคนละ 5 ปี
วันนี้นายนวการ จำเลยที่ 1 ซึ่งได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาลพร้อมทนายความ และมีนายถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส.เดินทางมาให้กำลังใจด้วย ขณะที่นายประเสริฐ จำเลยที่ 2 หลบหนี ศาลให้ออกหมายจับปรับนายประกัน
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้วเห็นว่า กกต.ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้ง แม้มีการร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่าการเลือกตั้ง 2 ก.พ. 2557 ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ แล้วต่อมาศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้งต้องทำวันเดียวกันทั่วราชอาณาจักร การไม่มีเลือกตั้ง 28 เขต จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ แต่ในวันที่มีการชุมนุมยังไม่มีความชัดเจนดังกล่าว ขณะนั้นยังมีความเห็นขัดแย้งว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ ขณะดำเนินการ กกต.มีอำนาจทางกฎหมายจึงเป็นการเลือกตั้งโดยชอบ หากมีการเข้าดำเนินการขัดขวางมิให้มีการลงคะแนนเลือกตั้งได้ย่อมเป็นความผิด ส่วนที่จำเลยทั้งสองชุมนุมหน้าสำนักงานเขตดินแดงอ้างว่าเป็นการใช้เสรีภาพนั้น ศาลเห็นว่าเป็นเหตุการณ์อื่น คดีนี้ผู้ชุมนุมได้ขัดขวางการเลือกตั้งเป็นความไม่สงบ ผิดกฎหมาย ไม่ใช่การชุมนุมโดยชอบ
ส่วนที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้เป็นผู้ล็อกกุญแจโซ่ประตูขัดขวางเจ้าหน้าที่ในการเลือกตั้ง โดยจำเลยที่ 1 อ้างว่าทำหน้าที่เพียงห้ามไม่ให้เกิดเหตุร้าย และจำเลยที่ 2 อ้างว่ามาสังเกตการณ์นั้น มีพยานเบิกความเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รู้จักกับจำเลยทั้งสองมาก่อนและได้ถ่ายภาพไว้ กับพยานเจ้าหน้าที่ กกต.เบิกความว่าไม่สามารถเข้าไปยังสำนักงานเขตได้ เนื่องจากมีโซ่คล้องประตู โดยจำเลยทั้งสองทำหน้าที่เจรจาอยู่หน้าประตูดังกล่าว ทั้งนี้จำเลยที่ 1 ยังถือไมโครโฟนประกาศงดการเลือกตั้ง สิ่งที่จำเลยอ้างจึงขัดแย้งกับหลักฐานที่ปรากฏ ข้อเท็จจริงคือจำเลยทั้งสองยืนขวางประตูปกป้องมิให้ใครเปิดได้ มีพฤติการณ์แสดงออกโดยที่ไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการขัดขวางไม่ให้ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิจนเวลาล่วงเลย 18.00 น. และที่อ้างว่าเจ้าหน้าที่สามารถเดินเข้าไปได้นั้น ก็มีผู้ชุมนุมซึ่งมีท่าทีขัดขวางแสดงอาการขึงขัง หากเจ้าหน้าที่เข้าไปไม่อาจหลีกเลี่ยงเหตุปะทะได้ จึงเป็นการอ้างเลื่อนลอยไม่น่ารับฟัง
สำหรับที่จำเลยยื่นฎีกาขอให้ลงโทษสถานเบานั้น ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองมีพฤติการณ์ไม่สำนึก จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนดุลพินิจ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย พิพากษายืน ให้จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี ไม่รอลงอาญา
ด้านนายถาวร เสนเนียม อดีต ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ และแกนนำ กปปส. ให้สัมภาษณ์ถึงประเด็นดูดนักการเมืองเข้าพรรคว่า ตนคิดว่าเป็นเรื่องปกติที่พรรคการเมืองต้องการแสวงหาสมาชิกที่มีโอกาสได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส. นักการเมืองก็พยายามหาพรรคมีแนวทางอุดมการณ์เดียวกันกับตนเอง เป็นสิทธิ ตนไม่ตำหนิพรรคการเมืองและนักการเมืองที่ย้ายพรรคหรือตั้งพรรคใหม่ ขอให้กำลังใจกับนักการเมืองทุกท่านที่ยังต่อสู้ตามแนวทางระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และให้กำลังใจพรรคการเมืองที่จัดตั้งใหม่ ขอให้ยึดมั่นแนวทางระบอบประชาธิปไตย ที่สำคัญคือการยึดหลักนิติธรรม เมื่อจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาแล้วได้รับการเลือกตั้ง ใช้เสียงข้างมากในการบริหารประเทศ ขอให้ยึดหลักนิติธรรมนิติรัฐ ถ้าเรายึดหลักนี้และความถูกต้อง บ้านเมืองก็เดินไปข้างหน้าได้ อย่าตื่นตกใจ อย่าเสียใจ อย่าตำหนิใครจากการที่ย้ายพรรค
ผู้สื่อข่าวถามว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรประกาศว่าจะไปร่วมพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นการสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ อีกนั้น นายถาวร กล่าวว่า ทุกคนที่ไม่ขาดคุณสมบัติมีสิทธิเป็นนายกฯ ไม่เว้นแม้กระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ หรือใครก็ตาม เมื่อได้รับเสียงข้างมากในการเลือกของรัฐสภา ก็สามารถเป็นนายกฯ ได้ แต่จะบริหารงานได้ดีหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นอย่าไปตื่นตกใจ จะมีใครก็ตามที่ไปหาสมาชิก ถ้าเขาไม่รักกันไม่มีอุดมการณ์ตรงกัน เขาก็ไม่ไปร่วม มีสิทธิทุกคน แต่อย่าใช้วิธีการที่ผิดรัฐธรรมนูญเท่านั้น ขอให้ระมัดระวัง ไม่เช่นนั้นแล้วบ้านเมืองเราจะถูกรัฐประหารอีก
เมื่อถามว่าแกนนำ กปปส.เคยเรียกร้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง แต่การจะได้ ส.ส.หน้าเดิมจะเกิดการปฏิรูปหรือ นายถาวร กล่าวว่า เป็นสิทธิของประชาชนที่จะหย่อนบัตรเลือก เราคาดหวังไปในแนวทางหนึ่ง แต่เมื่อพี่น้องประชาชนยังเลือกคนกลุ่มใดที่เราไม่สามารถฝากอนาคตประเทศชาติได้ ก็เป็นสิทธิของประชาชน ต้องเคารพการตัดสินใจ แต่สิ่งสำคัญที่สุดแม้จะเป็นนักการเมืองเก่าหรือคนหน้าเดิม ถ้ามีความคิดที่ทันสมัย ไม่ทำผิดไม่คิดทุจริต ไม่ใช้เสียงข้างมากในทำนองที่อยากจะทำอะไรก็ทำ ตนคิดว่าจะหน้าเก่าหน้าใหม่ จะหนุ่มสาวหรือแก่ก็สามารถพาประเทศชาติได้ ดังนั้นอย่าไปกังวล ประชาชนจะเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจเอง อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน แต่การสื่อสารไปถึงพี่น้องประชาชนขอให้ตรงไปตรงมา พูดในสิ่งที่สร้างสรรค์ ประชาชนเข้าใจ