ข่าวมหามงคลสำหรับชาวไทย ได้แก่การเปิดเผยของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าการเลือกตั้งนั้นจะมีขึ้นหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งน่าจะจัดขึ้นในเร็วๆ นี้
ก็ถือเป็นอีกครั้งที่เราชาวไทย จะมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต จะได้ชมพระราชพิธีสำคัญที่สุดในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คือพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งหมายถึงการทรงขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ ของปวงชนชาวไทย
กระแสเสียงเรียกร้องให้เลือกตั้งนั้นคงจะต้องพลันสงบลงชั่วคราว แต่ทุกคนก็รู้แน่ชัดว่าการเลือกตั้งคงจะเกิดขึ้นในอนาคตไม่ไกลนี้ เพียงแต่ยังกำหนดกะเกณฑ์อะไรมิได้ จนกว่าจะมีหมายกำหนดการพระราชพิธี
ระหว่างนี้ พรรคการเมืองต่างๆ ทั้งที่ตั้งเก่าตั้งใหม่ ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม สำหรับการเลือกตั้ง
เราจึงมาลอง “เช็กสุขภาพทางการเมือง” ของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงนี้กันดู
พรรคประชาธิปัตย์นั้นออกอาการทรงๆ อยู่ เหมือนที่เคยเป็นมาเสมอ แม้จะมีการแย้บๆ ว่า ท่านอดีตนายกฯ ชวนจะ “คัมแบ็ก” แต่ก็ยังไม่มีความแน่นอนอะไร นอกจากแลบไพ่ออกมาล่อขาไพ่ร่วมโต๊ะ
พรรครวมพลังประชาชาติไทยของ “ลุงกำนัน” นายสุเทพ เทือกสุบรรณ หลังจากเปิดตัวขึ้นมาก็ค่อยๆ จางตัวลงไปเหมือนดอกไม้ไฟ ไม่มีความเคลื่อนไหวน่าตื่นเต้นอะไร
ส่วนพรรค “อนาคตใหม่” ของ “ไพร่หมื่นล้าน” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ก็เหมือนสะดุดขาตัวเองอย่างไรไม่ทราบ เสียท่าไปสองคราติด เริ่มจากที่รองหัวหน้าพรรค พล.ท.พงศกร รอดชมภู ออกมาเขียนเฟซบุ๊กในทำนองที่ว่า พนักงานบริษัท เป็นเหมือน “ไพร่สมัยใหม่” ซึ่งไม่ควรส่งลูกหลานไปเรียนแล้วมาเป็นเช่นนี้ เรียก “บาท” จากบรรดาลูกจ้างและมนุษย์เงินเดือนแบบรับกันไม่หวาดไม่ไหว ต้องออกมาขอโทษขอโพยกันแทบไม่ทัน
ส่วนตัวหัวหน้าพรรคอย่างธนาธร ก็เผลอไป “พลาด” อภิปรายในการเสวนาร่วมกับหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งรวมนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อยู่ด้วย
โดยธนาธรให้ความเห็นว่า การปกครองในระบอบเผด็จการ ทำให้ประเทศพัฒนาไม่ทันความเป็นไปของโลก
เปิดช่องว่างให้อภิสิทธิ์ซึ่งเป็นนักโต้วาทีที่หาตัวจับยาก สวนฉับเข้าให้ว่า ประเทศอย่างสิงคโปร์ หรือจีน ก็พูดไม่ได้เต็มปากว่าเป็นประชาธิปไตย ก็ยังเจริญทางเศรษฐกิจและเติบโตในสังคมโลกได้อย่างดี
เสียฟอร์มจนถูกตัดคลิปไปแชร์กันกระจาย ว่าธนาธรถูกอภิสิทธิ์สอนมวย
นับว่าเป็นการเสียรังวัดไปพอสมควร สำหรับพรรคใหม่ที่เหมือนจะมาแรงในขณะนี้
แต่ก็คงไม่มีใคร “สุขภาพทางการเมือง” แย่ไปกว่าขั้วอำนาจเก่าอย่าง “เพื่อไทย” อีกแล้ว แม้ว่าจะมี “ขุมกำลัง” ในแง่ของฐานเสียงจากการเลือกตั้งสูงที่สุด แต่สภาพของ “ขุนพล” พรรคนั้นเหมือนล้มตายตามกันเป็นใบไม้ร่วง
ล่าสุด คือ “เสี่ยปึ้ง” สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินว่ามีความผิดฐานประพฤติมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ให้จำคุก 2 ปี ไม่รอลงอาญา แต่ได้ประกันตัวชั่วคราวออกมาในระหว่างยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาตามสิทธิใหม่ในรัฐธรรมนูญ ทำให้ “ยัง” ไม่ต้องนอนคุก
เรียกได้ว่า แกนนำของพรรคเพื่อไทย ล้วนแต่ต้องคดีกันไปทีละคนสองคน จนแทบหมดพรรค
แถมในพรรคเอง ก็ยังมี “ศึกใน” การชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรค ระหว่างขั้วของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ กับนายพิชัย นริพทะพันธุ์ ซึ่งฝ่ายหลังนั้นพยายาม “สร้างราคา” ด้วยการออกมาชนกับ คสช.อยู่ไม่ให้ขาดจากหน้าข่าว
เล่นเอามีข่าวลือว่า “คุณหญิงหน่อย” อาจจะ “ไขก๊อก” ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยไปตั้งพรรคใหม่
รอยร้าวนี้จะส่งผลแค่ไหนก็ต้องคอยดูกันต่อไป แต่บอกตรงๆ ว่า ถ้าให้เป็นสองคนนี้คนใดคนหนึ่ง ก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคเพื่อไทยดีขึ้น อย่างคุณหญิงหน่อยก็ได้ชื่อว่าเป็น “สายตรง” จากนายทักษิณ แถมยังมีภาพลักษณ์ที่ไม่ดีนักจากตอนที่ฉวยโอกาสโฆษณาหาเสียงผ่านโครงการปลูกดอกดาวเรือง ในช่วงพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพที่ผ่านมา
ส่วนนายพิชัยก็ไม่มีบารมีทางการเมืองเท่าไรนักสำหรับการเป็นตัวเลือก “นายกฯ” ที่จะมาแข่งกับ “ลุงตู่” หรือแม้แต่คนอื่นๆ ได้ ทั้งรับประกันว่า ถ้าคุณหญิงหน่อยไม่ทิ้งพรรคไป นายพิชัยก็คงจะต้องรบกับคลื่นใต้น้ำจนไม่เป็นอันทำอะไร หรือถ้าเป็นกรณีคุณหญิงหน่อยทิ้งพรรคไปตั้งพรรคใหม่จริงๆ ก็นับว่าเป็นเรื่อง “เลือดไหลออก” จากพรรคเพื่อไทยแผลสำคัญ
ไม่นับว่าที่ถูก “ดูด” อดีต ส.ส. และ ส.ว.ไปแล้ว และมีข่าวลือว่าจะถูก “ดูด” ไปเพิ่มอีกหลายแถว เช่นการเกิดขึ้นของ “กลุ่มสามมิตร” ซึ่งประกอบไปด้วย นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ (น้าชายของหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) นายสมศักดิ์ เทพสุทิน และนายภิรมย์ พลวิเศษ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะดูดเอา ส.ส.ในสังกัดโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานให้ได้เป็นกลุ่มก้อนพลังต่อรอง ไปร่วมกับพรรคของคนที่คุณก็รู้ว่าใคร
ทำเอานายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ที่เหมือนรับหน้าเสื่อเป็นผู้จัดการพรรค ออกมาประกาศกร้าวด้วยวาทกรรม “รับเงินหมา กาเพื่อไทย” เพื่อขู่อดีต ส.ส.ที่จะแตกแถว ให้ระลึกถึงบทเรียนในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ว่าบรรดาคนที่แตกแถวไปจากเพื่อไทยนั้น ในคราวเลือกตั้งจริง ประชาชนก็รับเงินจากฝ่ายนั้น แต่ไปกาให้เพื่อไทยอยู่ดี
แต่สภาพในตอนนั้นกับตอนนี้มันก็แตกต่างกันมาก ปัญหาสำคัญคือ เพื่อไทยนั้นยังไม่มี “หัว” ที่ผู้คนให้การยอมรับ และชาวบ้านในตอนนี้ ก็เสียความรู้สึกกับตระกูลชินวัตรกันไปพอแรง จากตอนที่อดีตนายกฯ ปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลอกให้ประชาชนมาให้กำลังใจที่หน้าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก่อนจะหายตัวหนีไปโผล่ที่อังกฤษเนียนๆ
และกลุ่มที่เคยจะกาให้เพื่อไทย เพราะไม่เอาเผด็จการทหาร เพราะไม่ชอบพรรคประชาธิปัตย์ หรือเชื่อว่าเพื่อไทยชนะ จะเป็นฝ่าย “ประชาธิปไตย” ก็ดี ตอนนี้เขาก็มีตัวเลือกใหม่ เป็นพรรคอนาคตใหม่เรียบร้อยแล้ว
อาจกล่าวได้ว่า แม้ว่าจะเหมือนแข็งแรงที่สุด ได้เปรียบที่สุดในสนามเลือกตั้ง แต่ด้วย “ศึกใน” และ “ไร้หัว” ทำให้พรรคเพื่อไทยกลับเป็นพรรคที่รั่วและอาจจะพังทลายได้ง่ายที่สุดเช่นกัน.