“พล.ต.ต.สุรเชษฐ์” ยันไม่ได้กลั่นแกล้ง “สันธนะ” ไม่เคยคุยหรือมีปัญหาขัดแย้งกันเลย แต่คาดเพราะเคยจับโต๊ดเถื่อนในสนามม้า จึงสร้างความไม่พอใจ ลั่นตลาดใหม่ดอนเมืองต้องทำให้ถูกต้อง ไม่มีต่อเติมอาคาร เล็งรื้อส่วนที่บุกรุกคลองเปรมประชากร
วันนี้ (17 พ.ค.) พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบช.ทท. เปิดเผยถึงกรณีการดำเนินคดี พ.ต.ท.สันธนะ ประยูรรัตน์ อดีต รอง ผกก.สันติบาล ผู้ต้องหาในคดีร่วมกันกรรโชกทรัพย์ เก็บค่าคุ้มครองผู้ค้าในตลาดใหม่ดอนเมือง ว่า เรื่องนี้ใกล้จะจบแล้ว โดยขอยืนยันว่า ไม่ใช่การกลั่นแกล้ง ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างการสอบสวนผู้เสียหายให้ครบถ้วนก่อน จากนั้นจะเป็นขั้นตอนของอัยการและศาลที่จะต้องดำเนินการต่อ และยืนยันว่า ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งกับ พ.ต.ท.สันธนะ แม้ว่าจะมีชื่อติดอยู่ 1 ใน 3 นายพลตำรวจที่ถูกกล่าวอ้างก็ตาม ทั้งนี้ ในอดีตที่ผ่านมา ตนเองเคยไปจับโต๊ดเถื่อนในสนามม้า ซึ่งได้จับทุกราย มีสถิติจับกุมชัดเจน จึงอาจทำให้มีคนไม่พอใจบ้าง แต่ก็ต้องทำตามหน้าที่ และย้ำว่า ไม่มีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไปทะเลาะกับ พ.ต.ท.สันธนะ เพราะไม่เคยคุยกันเลย และไม่ได้เลือกปฏิบัติหน้าที่
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ตนเองไม่ได้มองเรื่องของ พ.ต.ท.สันธนะ เป็นประเด็นหลัก แต่จะทำอย่างไรให้ตลาดใหม่ดอนเมืองแข็งแรง อาทิ รายได้ต้องเข้ารัฐครบถ้วน ได้จากการเช่าที่ดินก็จะต้องเข้ากรมธนารักษ์ การเสียภาษีต้องถูกต้อง พ่อค้าและแม่ค้าต้องขายสินค้าที่ถูกต้อง และมี อย. ดังนั้น เมื่อออกจากตลาดนี้ไป ตลาดจะต้องมีความสมบูรณ์ ไม่มีการต่อเติมอาคาร ที่สำคัญ จะต้องไม่มีการบุกรุกคลองเปรมประชากร ดังนั้น การดำเนินคดีที่เกิดขึ้นเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งเท่านั้น โดยสำนักงานเขตดอนเมือง จะต้องปิดประกาศให้ครบ เมื่ออาคารได้ต่อเติมผิดก็จะต้องมีการรื้อถอนภายใน 30 วัน ถ้ารื้อถอนไม่ทันเวลาก็จะต้องเลื่อนเวลาออกไป
ส่วนที่บุกรุกคลองเปรมประชากรจะต้องทุบทิ้งทั้งหมด ส่วนค่าเช่าที่ราคาสูงนั้น ทางอธิบดีกรมธนารักษ์ก็จะต้องมาดูว่าถูกต้องหรือไม่ ราคาสูงกว่าความเป็นจริงหรือไม่ ซึ่งตนเองเชื่อว่าจะใช้ระยะเวลาอีกเพียงประมาณ 2 สัปดาห์ ก็จะเสร็จสิ้น ถ้ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะต้องดำเนินคดี โดยจะต้องมีผู้เสียหายมาทำการฟ้องร้อง
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงกรณีที่มอง พ.ต.ท.สันธนะ เป็นผู้มีอิทธิพลหรือไม่นั้น ว่า ไม่ได้มองเป็นผู้มีอิทธิพลเลย เพราะวันนี้เรามองว่าไม่มีผู้มีอิทธิพล แต่เป็นเพียงการกระทำความผิดเฉพาะกลุ่ม หรือบุคคลเท่านั้น มาเฟียก็ไม่มี เราไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงส่วนนี้ส่วนเดียว ซึ่งเราจะต้องดูทุกๆ ส่วน
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ยังกล่าวถึงกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายเรียก พ.ต.อ.สมชาย ประยูรรัตน์ อายุ 91 ปี บิดาของ พ.ต.ท.สันธนะ ฐานให้ที่พักพิงผู้ต้องหา ว่า ได้สอบถามไปยัง ผกก.สน.โชคชัย แล้ว เป็นเพียงการตรวจสอบเท่านั้น ซึ่งหลังจากการตรวจสอบพบว่า ไม่เข้าข่ายการกระทำผิดก็ไม่มีอะไร จึงไม่มีการดำเนินคดีใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหา ขอยืนยันว่า ไม่มีเรื่องพ่อแม่เข้ามาเกี่ยวข้อง ส่วนที่ภรรยา พ.ต.ท.สันธนะ ไปยื่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนนั้น ก็ถือว่า เป็นสิทธิสามารถทำได้ ซึ่งตนพร้อมให้ตรวจสอบทุกส่วนอยู่แล้ว ว่า เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่อย่างไรบ้าง เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นบุคคลสาธารณะ เมื่อเราทำหน้าที่แล้วก็ต้องพร้อมให้สังคมตรวจสอบ ถ้าทำดีหรือไม่ดีสังคมก็ต้องรับรู้
อย่างไรก็ตาม การทำงานในครั้งนี้ มีหลายหน่วยงานทำงานร่วมกัน และตนเชื่อว่า ไม่มีใครกล้าแตกแถว อยากให้มีการตรวจสอบเยอะๆ จะได้โปร่งใส ซึ่งการจะดำเนินคดีใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสิทธิและเสรีภาพถือเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งการจะไปดำเนินคดีกับใครนั้นจะต้องมีหลักฐานที่ชัดเจนและตนไม่ได้เป็นศัตรูกับใครทั้งนั้น