MGR Online - ทนายร้อง ดีเอสไอ ติดตามความคืบหน้าเอาผิด อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย 2 ใน 5 ราย ฟอกเงินเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อ บริษัท กฤษดามหานคร 9,900 ล้านบาท ซึ่งคดีกำลังจะขาดอายุความในเดือน ธ.ค. นี้
วันนี้ (30 เม.ย.) เวลา 10.00 น. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ เดินทางเข้ายื่นเอกสารต่อ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ เพื่อติดตามความคืบหน้ากรณีได้ยื่นเรื่องกล่าวโทษดำเนินคดีผู้กระทำความผิดฟอกเงินเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อโดยทุจริตของผู้บริหารธนาคารกรุงไทย หลังเวลาล่วงเลยมากว่า 7 เดือน และคดีกำลังจะขาดอายุความช่วงเดือน ธ.ค. 61 โดยมี ร.ต.อ.ปิยะ รักสกุล ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ ดีเอสไอ เป็นผู้รับเรื่อง
นายวันชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจาก กลุ่มผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ของเครือบริษัท กฤษดามหานคร ตั้งแต่ปี 2537 - 2546 ตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หน้า 8 ข้อ 5 ระบุว่า “เมื่อลูกหนี้สามารถชำระหนี้ธนาคารเป็นเงินต้น จำนวน 4,500 ล้านบาท ให้กับธนาคารภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2546 ธนาคารตกลงจะสลักหลังไถ่ถอนหลักประกันที่ดินทั้งหมดที่จดจำนองประกันหนี้ บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด ให้แก่ลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน” โดยข้อความส่วนนี้ชัดเจนว่าเป็นการลดหนี้ทั้งเงินต้นและลดดอกเบี้ยแก่ กฤษดามหานคร กว่า 9,500 ล้านบาท ต่อมา กลุ่มกฤษดามหานคร ได้ขอกู้เงินกับธนาคารกรุงไทย จำนวน 8,000 ล้านบาท เพื่อชำระหนี้คืนแก่ธนาคารกรุงเทพ แต่ ธนาคารกรุงเทพ จงใจรับเอาเพียง 4,500 ล้านบาท เป็นเหตุให้เงิน 3,000 กว่าล้านบาท ถูกนำไปใช้ที่เป็นกรณีกล่าวหาว่าผิดฐานฟอกเงิน
นายวันชัย กล่าวอีกว่า สำหรับคดีทุจริตปล่อยสินเชื่อธนาคารกรุงไทย โดยผู้บริหารธนาคาร 2 ใน 5 ราย คือ นายอุตตม สาวนายน กับ นายชัยณรงค์ อินทรมีทรัพย์ ที่มีอำนาจลงนามอนุมัติสินเชื่อให้กับกลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร วงเงิน 9,900 ล้านบาท และมีลายมือชื่อหลักฐานชัดเจน แต่เมื่อมีการพิจารณาคดีฟอกเงิน แต่กลับไม่ถูกแจ้งข้อหา อ้างว่า กันไว้เป็นพยาน ทั้งนี้ ทราบว่า นายอุตตม จะไปเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองในอนาคตที่มีข่าวว่า เป็นพรรคพลังประชารัฐ จริงหรือไม่นั้น ความจริงต้องเคลียร์คดีฟอกเงินให้เสร็จสิ้นเสียก่อน รวมถึงคดีฟอกเงินมีการระงับเพราะเหตุใด กฎหมายฉบับใด และอยากให้ ดีเอสไอ ดำเนินคดีแบบเสมอภาคกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้รับเรื่องไว้ตรวจสอบก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป
