MGR Online - ดีเอสไอแพร่เอกสาร โต้ “วิลาศ” อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ นำเข้ารถตู้จากประเทศเยอรมนีเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร ยันสำนักงานอัยการคดีพิเศษได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง เนื่องจากการกระทำไม่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหาแล้ว
วันนี้ (30 เม.ย.) คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยแพร่เอกสารข้อมูล โดยระบุว่า “ตามที่หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจได้เผยแพร่ข่าวผ่านเว็บไซต์ของสำนักข่าว http://www.bangkokbiznews.com/ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2561 และนำเสนอประเด็น “วิลาศจ่อยื่น ป.ป.ช.สอบปมสั่งไม่ฟ้องรถหรูเลี่ยงภาษี” โดยเนื้อหาสรุปว่า นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวที่พรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการดำเนินคดีของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในคดีพิเศษ ที่ 10/2554 กรณีมีผู้กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญากับ บริษัท ไทยยานยนต์ จำกัด กับพวก ว่ามีพฤติการณ์ร่วมกันดำเนินการต่างๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีศุลกากร เกี่ยวกับการนำผลิตภัณฑ์รถยนต์ตู้สำเร็จรูปเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร โดยระบุว่ามีผู้ไปร้องเรียนกับตน เนื่องจากไม่เห็นด้วยกับผลการสอบสวนและการสั่งคดีของพนักงานอัยการ และสงสัยในการสอบสวนและการสั่งคดี ของพนักงานอัยการ รวมทั้งตั้งข้อสังเกตต่างๆ นั้น เพื่อให้สาธารณชนเข้าใจถึงขั้นตอนการปฏิบัติงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ และไม่เกิดความสับสน
จึงชี้แจงดังนี้ 1. กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากมีสายลับไม่ประสงค์ออกนาม แต่ประสงค์เงินสินบนรางวัล ได้มายื่นเรื่อง จึงขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษสืบสวนสอบสวนดำเนินคดีต่อบริษัท ไทยยานยนต์ จำกัด กับพวก เกี่ยวกับการนำเข้ารถยนต์ตู้สำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่งจากประเทศเยอรมนี และนำมาดำเนินการตกแต่ง ดัดแปลง ต่อเติมในห้อง โดยสาร ภายในเขตปลอดอากร โดยกล่าวหาว่าบริษัทดังกล่าวได้แอบอ้างใช้สิทธิลดอัตราอากรตามประกาศ กรมศุลกากรที่ 72/2550 และประกาศอื่นที่เกี่ยวข้อง ที่ให้สิทธิแก่ผู้ประกอบรถยนต์ในเขตปลอดอากร ได้ลด อัตราอากรหากมีการใช้สัดส่วนวัตถุดิบที่มีแหล่งกำเนิดในประเทศไทย มีมูลค่าไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของราคาผลิตภัณฑ์หน้าโรงงาน ทั้งที่ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ทำให้รัฐเสียหาย
2. คดีดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รวบรวมหลักฐานทุกประเด็น รวมทั้งสอบสวนเจ้าหน้าที่ของกรมศุลกากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย และสรุปสำนวนการสอบสวนเสนอพนักงานอัยการตามกฎหมาย ต่อมา สำนักงานอัยการคดีพิเศษ ได้มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหาเนื่องจากการกระทำไม่เป็นความผิดตามข้อกล่าวหา จึงเห็นได้ว่าการดำเนินคดีนี้เป็นไปตามขั้นตอน โปร่งใส และมีการตรวจสอบถ่วงดุลระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการตามกฎหมายทุกประการ และ 3. ส่วนประเด็นที่ผู้เกี่ยวข้องยังติดใจการพิจารณาของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 146 กำหนดให้ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา หรือผู้มีส่วนได้เสีย มีสิทธิร้องขอต่อพนักงานอัยการเพื่อขอทราบสรุปพยานหลักฐาน พร้อมทั้งความเห็นของพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการในการสั่งคดีได้ ภายในกำหนดอายุความฟ้องร้อง และหากมีพยานหลักฐานใหม่อันสำคัญแก่คดีก็สามารถดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาได้อีกตามมาตรา 147”