xs
xsm
sm
md
lg

“ดีเอสไอ” โต้ ICJ ยันยังติดตามคดีหายตัว “บิลลี่” นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษย์ใน อทช.แก่งกระจาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


โฆษกดีเอสไอ ยันคดีหายตัวของ “พอละจี รักจงเจริญ” หรือบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ยังดำเนินการอยู่ หลัง ICJ แถลงระบุไม่มีความคืบหน้า

วันนี้ (17 เม.ย.) คณะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เผยแพร่แถลงการณ์ โดยระบุว่า "ตามที่ปรากฏข่าวในสื่อสาธารณะ กรณีหนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ ประจำวันที่ 17 เม.ย. 61 ได้นำเสนอแถลงการณ์ของคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) เมื่อวันที่ 16 เม.ย. 61 เกี่ยวกับคดีการหายตัวไปของนายพอละจี รักจงเจริญ หรือ “บิลลี่” นักต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน ที่หายตัวไปในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ว่า “ประเทศไทย : ยังคงไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในวันครบรอบ 4 ปีที่ “บิลลี่” ถูกบังคับสูญหาย” และระบุว่า ดีเอสไอปฏิเสธการรับคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษ โดยได้เรียกร้องให้ดีเอสไอดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ในการสืบสวนและสอบสวนเรื่องดังกล่าวอย่างมีประสิทธิภาพนั้น

เนื่องจากข้อมูลกรณีดังกล่าวคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริงอยู่มาก ดีเอสไอจึงขอชี้แจงทำความเข้าใจต่อสาธารณชน ดังนี้ 1. นายพอละจี แกนนำชาวบ้านกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยและสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบลห้วยแม่เพรียง อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรีได้หายตัวไปเมื่อวันที่ 17 เม.ย. 2557 ระหว่างที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในความผิดเก็บของป่าและถูกควบคุมตัวอยู่

2. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน พื้นที่เกิดเหตุ ได้ดำเนินคดีอาญาต่อเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่เกี่ยวข้องกับการจับกุม นายพอละจีในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ กรณีอ้างว่าจับกุมนายพอละจีในความผิดเก็บของป่า แต่ปล่อยตัวไปโดยไม่ได้ดำเนินคดีและส่งสำนวนการสอบสวนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ หรือ ป.ป.ท.แล้ว โดยเรื่องอยู่ระหว่างการไต่สวน

3. นางพิณนภา พฤกษาพรรณ หรือมีนอ ภรรยาของนายพอละจี ได้ยื่นเรื่องขอให้ดีเอสไอสืบสวนเกี่ยวกับการหายตัวไปของนายพอละจีอีกทางหนึ่ง และขอให้รับเป็นคดีพิเศษ ซึ่งดีเอสไอได้ทำงานโดยบูรณาการกับตำรวจภูธรภาค 7 และหน่วยงานในพื้นที่ ปัจจุบันสืบสวนเสร็จแล้วเห็นว่าการหายตัวไปอาจเกิดจากการกระทำผิดอาญา ดีเอสไอจึงเสนอเรื่องต่อคณะอนุกรรมการคดีพิเศษ และคณะอนุกรรมการคดีพิเศษได้เสนอความเห็นควรรับเป็นคดีพิเศษต่อคณะกรรมการคดีพิเศษในการประชุมครั้งที่ผ่านมาแล้ว ในการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษเห็นว่ายังขาดข้อมูลในส่วนที่คณะกรรมการ ป.ป.ท.ดำเนินการอยู่มาประกอบการพิจารณามีมติว่าไม่ซ้ำซ้อนกับอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ท. และเนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญที่กระทบอำนาจการสอบสวน คณะกรรมการคดีพิเศษจึงมีมติให้ดีเอสไอไปดำเนินการเพิ่มเติมในส่วนดังกล่าว และนำเสนอเพื่อประกอบการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษเพื่อมีมติในครั้งต่อไป

ดีเอสไอยืนยันว่า การดำเนินการทุกประการเป็นไปตามกฎหมาย และเรื่องยังอยู่ในกระบวนการทำงาน มิใช่มีมติไม่รับเรื่องดังกล่าวเป็นคดีพิเศษแล้วตามที่ปรากฏในข่าวแต่อย่างใด


กำลังโหลดความคิดเห็น