MGR Online - ศาลยกฟ้องบริษัท แจ๊คสันฯ ไม่ผิดฐานฉ้อโกง ขาย GT 200 รวม 8 เครื่องกว่า 10 ล้านให้กองทัพปี 50-52 ศาลชี้ แค่นำเข้าเครื่อง ไม่เอี่ยวรู้เห็นจัดทำเอกสารแสดงคุณสมบัติเท็จ
วันนี้ (28 มี.ค.) เมื่อเวลา 10.30 น. ศาลแขวงดอนเมืองอ่านคำพิพากษาคดีฉ้อโกงจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 คดีหมายเลขดำ อ.1768/2560 ที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท แจ๊คสัน อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย ) จำกัด ผู้ประกอบกิจการประเภทขายส่งเครื่องจักร อุปกรณ์ภัณฑ์ เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงด้วยการหลอกลวงผู้อื่นโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอก ซึ่งการหลอกลวงนั้นได้ทรัพย์สินไปฯ ตามประมวลกฎหมายหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 83 และ 91
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2560 สรุปว่า ระหว่างวันเดือนใดไม่ปรากฏชัด ช่วงต้นปี 2550-14 ก.ย. 2550 เวลากลางวันจำเลยได้ฉ้อโกงโดยทุจริตด้วยการหลอกลวง จำหน่ายเครื่องตรวจวัตถุระเบิด อัลฟ่า 6 รุ่นคอมแพค โดย บ.คอมแพค ผู้จัดจำหน่ายในประเทศอังกฤษ ให้กับศูนย์รักษาความปลอดภัย ที่เป็นหน่วยราชการในสังกัด กองบัญชาการกองทัพไทย จำนวน 2ครั้ง ครั้งแรกในวันที่ 14 ก.ย.2550 จำนวน 6 เครื่องเครื่องละ 1.3 ล้าน มูลค่ารวม 7,800,000 บาทและครั้งที่ 2 วันที่ 13 ม.ค.2552 อีก 2เครื่อง มูลค่ารวม 2,600,000 บาท รวมทำสัญญา 2 ครั้งมูลค่า 10,400,000 บาท โดยจำเลยได้สาธิตวิธีการใช้ พร้อมแจกเอกสาร(แคตตาล็อก) ที่ระบุคุณสมบัติ เครื่องตรวจวัตถุระเบิดดังกล่าวว่าสามารถตรวจสารเสพติดได้7ชนิดและวัตถุระเบิด 10 ชนิดโดยมีอุปกรณ์ที่สามารถจับสสารระยะไกลโดยไม่ต้องใช้ประจุไฟฟ้า ไม่ต้องมีการชาร์ตไฟ โดยใช้ไฟฟ้าสถิตย์จากร่างกายของผู้ใช้อุปกรณ์ขณะที่รัศมีการทำงานสารมารถจับสัญญาณได้ในระยะ6-300เมตร ในทุกสภาพอากาศในเวลาประมาณ1นาที โดยมีเสาอากาศที่พับอยู่ยืดออกมาได้ทั้งที่ความจริงแล้วเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดดังกล่าวเป็นเพียงพลาสติกแข็ง2ชิ้นประกอบเข้าด้วยกันส่วนภายในไม่ได้มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่รับสัญญาณได้อย่างที่มีการโฆษณาและระบุไว้ในแคตตาล็อก ส่วนเมมโมรี่การ์ดนั้นภายนอกเป็นพลาสติกแข็งแต่ภายในเป็นกระดาษสีดำ4แผ่น เหตุเกิดที่ แขวงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เขตบางเขน กทม. จำเลยให้การปฏิเสธ
โดยในวันนี้มีนายหยาง เซี๊ยะ เซียง ชาวจีนไต้หวัน กรรมการผู้มีอำนาบริษัทแจ๊คสันฯจำเลยเดินทางมาศาล พร้อมนายคมสัน ศรีวนิชย์ ทนายความ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วข้อเท็จจริง รับฟังได้ว่าจำเลยเป็นผู้ประกอบการอุปกรณ์ไฟฟ้า ยุทธภัณฑ์ เครื่องตรวจจับโลหะ และเป็นตัวแทนผู้นำเข้าเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ย่านบางนา มีการทำสัญญาจำหน่ายเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที 200 ให้กับศูนย์รักษาความปลอดภัยซึ่งเป็นหน่วยราชการ สังกัดกองบัญชาการกองทัพไทยโดยจำเลยเป็นผู้เข้าประมูล ได้โฆษณาคุณสมบัติของเครื่องวัตถุระเบิดว่า ได้รับเป็นตัวแทนจำหน่ายเครื่องดังกล่าวจากบริษัทคอมแพคฯในประเทศอังกฤษ
ขณะที่อัยการโจทก์มีคณะกรรมการพิจารณาจัดซื้อรวม 6 คนเบิกความว่าในการจัดซื้อมีบริษัทจำเลยเป็นผู้นำเสนอเครื่องพร้อมนำแคตตาล็อก แสดงคุณสมบัติมาให้ดูพร้อมสาธิตให้คณะกรรมการได้เห็นซึ่งขณะนั้นเครื่องมือได้ทดสอบการหาสารเสพติดและระเบิดได้ตรงตามเข็มทิศของเครื่อง จึงทำให้ขณะนั้นเชื่อว่าเครื่องสามารถใช้งานได้ แต่เนื่องจากไม่เคยจัดซื้อเครื่องมือลักษณะดังกล่าวมาก่อน คระกรรมการจึงได้เสนอการจัดซื้อด้วยวิธีที่บ่งบอกลักษณะและคุณสมบัติตามแคตตาล็อก กระทั้งบริษัทจำเลยได้เข้าประมูลและชนะการประกวดราคาโดยมีการทำสัญญา2ครั้งรวมมูลค่า 10,400,000 บาท จนมีการส่งมอบเครื่องให้ผู้เสียหายและชำระเงินตามสัญญาแล้ว
แต่ภายหลังมีการร้องเรียนเกี่ยวกับการทำงานของเครื่องจนได้มีการตรวจสอบเครื่องโดย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แล้วพบว่าแท่งตัวเครื่องเป็นเพียงพลาสติกแข็งสองอันประกอบกันไม่ได้มีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถจับสัญญาณวัตถุระเบิดหรือสารเสพติดได้ และไม่มีตัวส่งสัญญาณสนามแม่เหล็กกับเข็มทิศที่ใช้ได้จริงกับตัวเครื่อง ส่วนเมมโมรี่การ์ดภายในก็เป็นกระดาษอัด ต่อมาจึงมีการร้องทุกข์ดำเนินคดีกับพนักงานสอบสวน สน.บางเขน ก่อนที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)จะรับคดีไว้ และแจ้งให้ นายทหารพระธรรมมนูญเป็นผู้แทนศูนย์อำนวยความปลอดภัยของกองทัพฯเข้าเป็นผู้เสียหาย
แต่การจะรับฟังว่าบริษัทจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลกระทำผิดฐานฉ้อโกงโดยแสดงข้อความอันเป็นเท็จเพื่อให้ได้ทรัพย์สินไปนั้น ก็จะต้องพิจารณาว่า ได้กระทำการโดยรู้อยู่แล้วว่าข้อความนั้นเป็นเท็จมาก่อน หรือร่วมกันทำข้อมูลเท็จ ซึ่งตามทางนำสืบของโจทก์ฟังได้ว่าบริษัทจำเลยเป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายที่นำเข้าเครื่องดังกล่าวจากบริษัทคอมแพค ที่อยู่ในประเทศอังกฤษซึ่งโจทก์ไม่ได้นำสืบและยืนยันให้เห็นว่าบริษัทจำเลยได้ร่วมจัดทำเอกสารแคตตาล๊อกกับบุคคลอื่นใดที่เสนอคุณสมบัติซึ่งจะฟังได้ว่ากระทำการอันเป็นเท็จโดยลำพังการที่บริษัทจำเลยนำแคตตาล็อกที่ได้มาจากกการนำเข้าเครื่องนั้นมาแสดงพร้อมเครื่องก็ไม่ได้แสดงว่าบริษัทจำเลยร่วมดำเนินการหรือผลิตเอกสารที่น่าจะเป็นเท็จ
แม้ว่าโจทก์จะมีเจ้าหน้าที่จาก สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเบิกความว่า ในการตรวจสอบ เรื่องการจัดซื้อ นาย หยาง เซี๊ยะ เซียง ระบุว่าในการจัดจำหน่ายเครื่องมีคนรู้จักซึ่งเป็นกรรมการอยู่ในบริษัทของผู้ผลิตแต่ในการดำเนินคดีก็มิได้กระทำต่อนาย หยาง ฯ ด้วยมีเพียงบริษัทที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งการกระทำนั้นระหว่างบริษัทและบุคคลจะต้องพิจารณาแยกจากกัน อย่างไรก็ดีหากผู้เสียหายเห็นว่ามีการกระทำที่เกิดและได้รับความเสียหายก็ชอบที่จะยื่นฟ้องเป็นคดีแพ่งต่อไปหรือหากพบว่ามีบุคคลอื่นร่วมกระทำผิดก็ชอบที่จะดำเนินคดีอาญาตามขั้นตอน
พยานหลักฐานของโจทก์ยังไม่เพียงพอที่จะให้เชื่อได้ว่า จำเลยรู้เห็นเกี่ยวกับการจัดทำแคตตาล๊อกแสดงคุณสมบัติเครื่องอันเป็นเท็จ แต่บริษัทจำเลย เพียงนำเข้าเครื่องและเอกสารจากบ.คอมแพคมาจำหน่ายเท่านั้น ซึ่งจำเลยอาจไม่ล่วงรู้ได้ว่า ข้อความนั้นเป็นเท็จ หรือร่วมกับบริษัทผู้ผลิต กระทำการอันเป็นเท็จ ดังนั้นจำเลยจึงยังไม่มีความผิด ให้ยกฟ้อง
ด้านนายคมสัน ศรีวนิชย์ ทนายความ บริษัทแจ๊คสันฯ กล่าวว่าคดีนี้ที่ศาลยกฟ้องเนื่องจากรับฟังว่าจำเลยเป็นเพียงตัวแทนการขายที่ซื้อมาจากตัวแทนจำหน่ายอีกทีหนึ่งเราไม่ใช่ผู้ผลิตโดย เกี่ยวกับคดีนี้ ยังไม่มีการฟ้องเป็นคดีแพ่งเรียกค่าเสียหาย อย่างไรก็ดีบริษัทคอมแพคผู้จำหน่ายในอังกฤษนั้นก็ถูกดำเนินคดีแต่ศาลในอังกฤษก็ยกฟ้องเช่นกัน แต่ในส่วนบริษัทผู้ผลิตเครื่องก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง ทั้งนี้จะมีการอุทธรณ์คดีหรือไม่ก็เป็นสิทธิของอัยการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีการจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดคดีนี้ถือเป็นคดีแรกที่มีการดำเนินคดีกับเอกชนและคดีถึงชั้นศาล