ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตฯ พิพากษา จำคุก 6 ปี “สุธรรม มลิลา” อดีต ผอ.ทศท. ทุจริต ยอมลดส่วนแบ่งรายได้มือถือแบบเติมเงิน “วันทูคอล” เอื้อประโยชน์ให้ เอไอเอส ทำรัฐสูญรายได้ 6.6 หมื่นล้าน พร้อมให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย 4.6 หมื่นล้าน
วันนี้ (27 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 26 มี.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญา คดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ในคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุธรรม มลิลา ผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย (ทศท.) ในขณะนั้นในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151, มาตรา 157 จำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา
คำฟ้องสรุปว่า จำเลยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการ ทศท. ทำหน้าที่บริหารงานภายในองค์กร มีหน้าที่ปฏิบัติงานก่อให้เกิดประโยชน์แก่องค์กร เมื่อระหว่างวันที่ 12 เม.ย.- 15 พ.ค. 2544 จำเลยปฏิบัติหน้าที่ ผอ.องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย และกรรมการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย โดยตำแหน่งกระทำความผิดกฎหมายหลายบท โดยทำสัญญาอนุญาตให้บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัดมหาชน (AIS) ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ สัญญากำหนดว่าบริษัทเอไอเอสจะต้องลงทุนอุปกรณ์ทั้งหมด และยกให้ ทศท. ก่อนที่จะนำไปให้บริการแก่ผู้ใช้บริการและกำหนดให้เอไอเอสจ่ายส่วนแบ่งรายได้ ตามสัดส่วนเงื่อนเวลาร้อยละ 15 - 30
จากนั้นเอไอเอสมีหนังสือลงวันที่ 22 ม.ค. 2544 ถึง ผอ.ทศท. ขอให้พิจารณาปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (Prepaid Card) โดยให้เหตุผลว่า ทศท.ปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่ายกรณีการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าให้แก่บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (TAC) จากเดิมอัตราร้อยละ 200 ต่อเลขหมาย ต่อเดือน เป็นอัตราร้อยละ 18 ของหน้าบัตร แต่นายวิเชียร นาคสีนวล ผอ.บริหารผลประโยชน์ เห็นว่ากรณีมิใช่เป็นการปรับลดอัตราค่าเชื่อมโยงโครงข่าย แต่เป็นการกำหนดอัตราค่าเชื่อมโยงขึ้นใหม่ และมิใช่การลดส่วนแบ่งรายได้ เหตุผลไม่สมเหตุผล จึงไม่พิจารณาปรับลดส่วนแบ่งรายได้ และเมื่อเทียบกับเงินที่บริษัท TAC จ่ายให้บริษัท กสท และ ทศท. แล้ว บริษัท TAC จ่ายเงินมากกว่าเอไอเอสจ่ายให้ ทศท.
ต่อมามีการจัดทำกรณีศึกษาแบบอัตราก้าวหน้าและอัตราคงที่ เสนอต่อ นางทัศนีย์ มโนรถ รอง ผอ.ทศท. และ นายสายัณห์ ถิ่นสำราญ ผอ.การเงินและงบประมาณได้สั่งให้ศึกษาเพิ่มเติม โดยหลังจากมีการประชุม คณะกรรมการกลั่นกรองวาระการประชุมแล้ว ได้รับข้อเสนอของเอไอเอสและกำหนดส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าในอัตราร้อยละ 20 คงที่ตลอดอายุสัญญาและจำเลยได้สั่งการให้ฝ่ายบริหารผลประโยชน์ทำเอกสารเสนอกรรมการ ทศท.ให้ทันการประชุมครั้งต่อไป และการประชุม ทศท. ครั้งที่ 5/2544 เมื่อวันที่ 12 เม.ย. 2544 ที่ประชุมมีความเห็นว่าที่เอไอเอสขอลดส่วนแบ่งรายได้จากอัตราร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 20 นอกจากจะเป็นการส่งเสริมการแข่งขันอย่างเป็นธรรมแล้ว ทศท. และประชาชนน่าจะได้รับประโยชน์โดยตรง จึงมีมติเห็นชอบส่วนแบ่งรายได้โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบบัตรจ่ายเงินล่วงหน้าวันทูคอลที่ ทศท. จะเรียกเก็บในอัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร โดยมีเงื่อนไขให้ ทศท.เจรจากับเอไอเอสให้ได้ข้อยุติก่อน ส่วนการนำส่งส่วนแบ่งรายได้ ให้ ทศท. เป็นรายเดือน และการนำผลประโยชน์ที่เอไอเอสได้รับไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการโดยตรง ให้กำหนดเงื่อนไขท้ายสัญญาและให้ ทศท. ติดตามผลการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ล่วงหน้า เพื่อเป็นข้อมูลปรับปรุงหลักเกณฑ์เก็บส่วนแบ่งในโอกาสต่อไป แต่จำเลยมิได้ดำเนินการเสนอผลการศึกษาข้อมูลเพื่อพิจารณาทบทวนอัตราส่วนแบ่งรายได้ของเอไอเอสให้คณะกรรมการ ทศท.พิจารณาอีกครั้ง ตามมติคณะกรรมการ ทศท.จนกระทั่งคณะกรรมการ ทศท. ทั้ง 7 คน พ้นจากตำแหน่งไปเมื่อวันที่ 30 ก.ค. 2545
แต่จำเลยในฐานะ ผอ.ทศท. ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาอนุญาตดำเนินกิจการครั้งที่ 6 ให้กับเอไอเอสและกำหนดผลประโยชน์ตอบแทนโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้ชื่อ วันทูคอล ให้เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้อัตราร้อยละ 20 ของมูลค่าหน้าบัตร ทำให้ ทศท. ได้รับส่วนแบ่งรายได้น้อยลงจากเดิมที่ได้รับตามสัญญาหลักในอัตราร้อยละ 25 - 30
เมื่อเปรียบเทียบส่วนแบ่งรายได้ตามสัญญาหลัก กับสัญญาที่แก้ไข ทศท.สูญเสียรายได้ 17,848,130,000 บาท และสูญเสียรายได้ในอนาคตถึงสิ้นสุดสัญญาสัมปทาน อีกเป็นเงิน 53,490,900,000 บาท รวมเป็นเงิน 71,339,030,000 บาท การที่จำเลยปิดบังข้อเท็จจริงของฝ่ายบริหารผลประโยชน์ของ ทศท. ที่ได้มีความเห็นเสนอจำเลยแล้วว่า บริษัท TAC ต้องจ่ายให้ภาครัฐมากกว่าเอไอเอส จำเลยย่อมทราบข้อมูลความแตกต่าง การขอลดอัตราส่วนแบ่งรายได้ของเอไอเอสเป็นอย่างดีแล้ว แต่มิได้นำเสนอข้อมูลดังกล่าวให้ ทศท. ทราบถึงความแตกต่าง การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำในฐานะเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151, มาตรา 157
ทั้งนี้ บริษัท ทีโอที จำกัด ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 จากการที่จำเลยลงนามข้อตกลงครั้งที่ 6 กับบริษัทเอไอเอส ทำให้ผู้ร้องสูญเสียรายได้ คิดเป็นเงิน 66,060,686,735.94 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี รวมเป็นเงิน 93,710,927,981.84 บาท
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษายกฟ้อง และยกคำร้องของบริษัท ทีโอที ผู้ร้อง
อย่างไรก็ตาม นายอำนาจ พวงชมภู อธิบดีผู้พิพากษาศาลทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในขณะนั้นได้ทำความเห็นแย้งโดยเห็นควรให้ลงโทษจำเลย
ต่อมาโจทก์ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่า ข้อเท็จจริงทางไต่สวนพยานโจทก์จำเลยและผู้ร้องประกอบรายงาน ป.ป.ช. เรื่องการแก้ไขสัญญาครั้งที่ 6 เพื่อลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าแก่เอไอเอส การที่จำเลยยอม แก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (ฉบับหลักลงวันที่ 27 มี.ค. 2533) ครั้งที่ 6 เมื่อวันที่ 15 พ.ค. 2544 ปรับส่วนแบ่งรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้าแก่เอไอเอส ตามสัดส่วนเงื่อนเวลา 15 ถึง 30 เปอร์เซนต์ เป็นอัตราก้าวหน้าแก่ ทศท. นั้น
โดยจำเลยในฐานะ ผอ.ทศท. ได้ลงนามข้อตกลงต่อท้ายสัญญาครั้งที่ 6 กับบริษัท เอไอเอ ว่า ให้เอไอเอสแบ่งส่วนรายได้ใน “อัตราร้อยละ 20” (เดิม ทศท. ได้ 30) ของมูลค่าหน้าบัตร ทำให้ ทศท. เสียหาย อีกทั้งการแก้ไขสัญญาในครั้งนั้นอัตราส่วนแบ่งรายได้แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า ควรเป็นไปตามสัญญาหลักเพราะเป็นธรรมแก่คู่สัญญา และความผิดมาตรา 151 ต้องมีเจตนาพิเศษ เห็นว่า ที่จำเลยลงนามเอื้อประโยชน์แก่เอไอเอส โดยที่จำเลยอ้างว่าที่ประชุมไม่มีคำถาม จำเลยจึงไม่ต้องรายงานข้อเท็จจริง นอกจากเป็นการกล่าวอ้างที่ไม่สมเหตุสมผลแล้วโดยตำแหน่งที่จำเลยดำรงอยู่นั้น ต้องรักษาผลประโยชน์ขององค์กร สมควรแจ้งข้อเท็จจริงที่เป็นผลประโยชน์ได้เสียขององค์กรให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณาด้วยความรอบคอบ บ่งชี้ให้เห็นเจตนาของจำเลยในการลงนามสัญญาครั้งที่ 6 ถือว่าเป็นการใช้อำนาจตำแหน่งโดยทุจริต ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ ทศท. ได้รับส่วนแบ่งน้อยลง การกระทำที่มุ่งให้เอไอเอสได้ประโยชน์ เป็นการกระทำโดยทุจริตครบองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และมาตรา 157 เมื่อการกระทำจำเลยเป็นความผิดอันเป็นบทเฉพาะแล้ว จึงไม่ปรับบทมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นบททั่วไปที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
ส่วนจำเลยต้องรับผิดค่าสินไหมทดแทนแก่บริษัททีโอทีหรือไม่ เห็นว่าแม้ทีโอทีจะไม่ได้อุทธรณ์ในส่วนคดีแพ่งก็ตาม แต่ได้ยื่นคำร้องเข้ามา ตามมาตรา 44/1 เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์จึงถือว่าคำร้องดังกล่าวได้อุทธรณ์ด้วยเช่นเดียวกัน และเมื่อข้อเท็จจริงส่วนอาญาฟังว่าจำเลยใช้อำนาจในทางทุจริต จำเลยต้องรับผิดชอบใช้เงินแก่ทีโอที โดยบริษัททีโอทีได้คำนวณค่าเสียหายที่ต้องขาดรายได้จากเงินส่วนแบ่งตลอดอายุสัญญาแต่ละช่วงเป็นต้นเงิน 66,060,686,735.94 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี โดยจำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดนำมาไต่สวนเป็นอย่างอื่น แต่ข้อเท็จจริงแม้เชื่อได้ว่าบริษัททีโอทีได้รับความเสียหายตามจำนวนดังกล่าว แต่อย่างไรก็ตาม การพิจารณาอนุมัติลดอัตราส่วนแบ่งรายได้แก่เอไอเอสเป็นมติคณะกรรมการ จำเลยไม่ได้พิจารณาแต่เพียงลำพัง หากจำเลยต้องรับผิดเต็มจำนวนความเสียหายคงไม่เป็นธรรม จึงสมควรให้จำเลยรับผิดเพียงกึ่งหนึ่งเป็นเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 33,030,343,367.97 นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. 2559 ซึ่งเป็นวันที่บริษัททีโอทียื่นคำร้อง
จึงพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดฐาน ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใดๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) จำคุกจำเลย 9 ปี พยานหลักฐานที่จำเลยนำเข้าไต่สวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ 1 ใน 3 คงจำคุก 6 ปี และให้จำเลยชำระเงิน 46,855,463,990.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของเงินต้น 33,030,343,367.97 บาท นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค.2559
ต่อมาจำเลยได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกา โดยศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว โดยตีราคาประกัน 800,000 บาท กำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศเว้นได้รับอนุญาตจากศาล