MGR Online - “ที่ใดมีรัก...ที่นั่นมีทุกข์” นับเป็นคำอมตะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ เพราะรักในทางโลกมักมาคู่กับความหลง คดีแพทย์หญิง นิธิวดี หรือ หมอนิ่ม ภู่เจริญยศ หนึ่งในผู้ต้องหาจ้างวานฆ่า “เอ็กซ์-จักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม” อดีตมือปืนทีมชาติรูปหล่อ ผู้เป็นทั้งสามีและพ่อของลูก ซึ่งต่อมาศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิต นับสร้างความตกตะลึงให้แก่สังคมไทย รวมทั้งความสลดใจกับผลกรรมที่เกิดขึ้น รวมทั้งมุมมองพฤติกรรมในด้านมืดของมนุษย์ชาย-หญิงกลุ่มหนึ่งในแวดวงการแพทย์“
ค่ำวันที่ 19 ต.ค. 2556 ระหว่างนายจักรกฤษณ์ พณิชย์ผาติกรรม กำลังขับรถสปอร์ตคันงามจะไปธุระนอกบ้าน ขณะผ่านมาถึงหน้าวัดบางเพ็งใต้ ถนนสุขาภิบาล 3 เขตมีนบุรี กทม. มีคนร้ายขับขี่จักรยานยนต์เทียบด้านข้าง และจ่อยิงทะลุกระจกในลักษณะประชิดตัว ก่อนเร่งความเร็วหลบหนีไป ส่วนนายจักรกฤษณ์ หรือเอ็กซ์ นักกีฬายิงปืนคนดังเสียชีวิตคาที่
การตายของนักกีฬาทีมชาติกลายเป็นข่าวใหญ่ มีการเสนอภาพเหตุการณ์ รวมทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลังอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะปมขัดแย้งในครอบครัวซึ่งก่อนหน้านี้ผู้ตายมักมีเรื่องระหองระแหง กับแพทย์หญิง นิธิวดี หรือหมอนิ่ม อยู่เป็นประจำ ตั้งแต่เรื่องหึงหวง เรื่องผู้ตายไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด มีข่าวซุบซิบทำร้ายภรรยาจนแท้งลูก เป็นต้น เมื่อกระแสสังคมกดดันหนักขึ้น “เอ็กซ์” จึงออกมายืดอกแถลงข่าวด้วยตัวเอง โดยยอมรับว่าเคยเสพยาไอซ์จริงแต่เลิกไปแล้ว
ความร้าวฉานในครอบครัวที่เป็นมาอย่างต่อเนื่องในรอบ 7 ปีนี้เอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมุ่งไปยังกลุ่มคนใกล้ชิดหมอนิ่ม และที่สุดสามารถปิดคดีได้ โดยจับกุม นายจิรศักดิ์ กลิ่นคล้าย มือปืน, นายธวัชชัย เพชรโชติ คนทำหน้าที่ขับขี่จักรยานยนต์, นายสันติ ทองเสม ทนายความ แพทย์หญิง นิธิวดี หรือหมอนิ่ม ภู่เจริญยศ และนางสุรางค์ ดวงจินดา มารดาหมอนิ่ม ต่อมาวันที่ 19 ธ.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดมีนบุรีตัดสินประหารชีวิตแพทย์หญิง นิธิวดี และยื่นประกันในระหว่างอุทธรณ์ ส่วนนางสุรางค์ พยานหลักฐานไม่ถึงให้ปล่อยตัว“
ฉากสุดท้ายจึงยุติลงที่ทุกคนเมื่อสร้างกรรมใดไว้ ต่างต้องรับผลกรรมที่กระทำขึ้น “เอ็กซ์” มือปืนทีมชาติรูปหล่อ มาดเท่ ขวัญใจสาวๆ ตายก่อนวัยอันควร ทั้งที่มีฐานะเพียบพร้อมทั้งทางสังคม และเศรษฐกิจ เพราะความรักตัวเดียวแท้ๆ ที่มาพร้อมกับความไม่เข้าใจ จนถึงขั้นต้องแก้ปัญหาด้วยการตายจากกันไปข้าง แม้ก่อนคำพิพากษาจะมีกระแสโซเชียลนำภาพสวีตหวานระหว่างหมอนิ่ม กับเพื่อนชายคนใหม่ และแน่นอนว่า ย่อมมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางเสื่อมเสีย แต่วันนี้เริ่มมีคนถามถึงอนาคตของครอบครัวนี้ เมื่อพ่อตายไปแล้ว แม่ต้องยืนอยู่บนเส้นลวด ฐานผู้ต้องหาประหารชีวิต นางสุรางค์ มารดา และคุณยาย ที่แก่เฒ่า อายุปาเข้าไปเกือบ 80 ปีแล้ว จะอยู่ดูแลหลาน 2 คน ที่เกิดกับเอ็กซ์ และหมอนิ่ม อย่างไร!!??
เมื่อรักมันเป็นพิษ “ความตาย” คือ ทางเลือก.....ถอยหลังไป 5 ปี เกิดคดีพิศวาสฆาตกรรมขึ้นในพื้นที่ สภ.เด่นชัย จ.แพร่ โดยเจ้าหน้าที่กู้ภัยรับแจ้งเหตุรถเก๋งไฟไหม้ มีคนขับติดอยู่ภายใน เหตุเกิดริมถนนสายเด่นชัย-อุตรดิตถ์ เมื่อถึงจุดเกิดเหตุ พบรถเก๋งสีขาวทะเบียน ภง 636 เชียงราย ไฟลุกท่วมทั้งคัน จึงช่วยกันฉีดน้ำสกัด เมื่อสามารถดับได้หมดแล้ว พบศพหญิงติดอยู่เบาะที่นั่งคนขับ ลักษณะดำเป็นตอตะโกทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.พัทนันท์ ไชยวงศ์ หรือหมอออม แพทย์ฝึกหัดโรงพยาบาลปง จ.พะเยา จากการสอบสวนผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด มีเงื่อนงำว่าไม่น่าจะเป็นคดีอุบัติเหตุทั่วไป เพราะลักษณะการไหม้เกิดจากถูกราดด้วยน้ำมันแล้วจุดไฟเผา ต่อมาญาติแจ้งเบาะแสว่าผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ คือนายแพทย์ ศรชาติ ศิริโชติ หรือหมอแฮม ประจำอยู่โรงพยาบาลพุทธชินราช ซึ่งคบหากับคนตายในลักษณะชู้สาว ทั้งที่มีคนรักอยู่แล้ว คือ แพทย์หญิง กนกพรรณ ไอยมณีรัตน์ หรือหมอเจน
ตำรวจสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน รวมทั้งเศษดินที่ติดกับแป้นเบรก ทราบต่อมาว่าก่อนถึงที่เกิดเหตุ นายแพทย์ ศรชาติ ลวงหมอออมมาฆ่าทิ้ง โดยแวะกลางทางที่ อ.วชิรบารมี จ.พิจิตร ก่อนบีบคอจนตายคามือ แล้วขับรถมายังริมถนนสายเด่นชัย จัดฉากอุบัติเหตุขึ้น โดยให้หมอเจนขับรถมารับและเดินทางไปร่วมงานเลี้ยงกับเพื่อนๆ คดีนี้ศาลตัดสินจำคุกหมอแฮม 35 ปี ส่วนหมอเจน 2 ปี ฐานช่วยซ่อนเร้นทำลายศพ
ปี 2541 เสริม สาครราษฎร์ นักศึกษาแพทย์ปี 2 สร้างตำนาน “รักต้องฆ่า” สั่นสะเทือนไปทั้งวงการ....เหยื่อของเขาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นนักศึกษาแพทย์รุ่นพี่ ชื่อ น.ส.เจนจิรา พลอยองุ่นศรี หลังจากคบหาในฐานะคนรักได้ไม่นาน ฝ่ายหญิงเห็นว่าจะต้องจบการศึกษาก่อน เนื่องจากเรียนอยู่ปี 5 ส่วนเสริม สาครราษฎร์ เพิ่งจะเรียนปี 2 จากความรักมองไปทางไหนโลกสวยงาม มีแต่สีชมพู กลายเป็นมัวซัว มีทั้งความทุกข์และความแค้น กระทั่งวันตายเดินทางมาถึง เมื่อเสริม วางแผนให้แฟนรุ่นพี่มาติววิชาให้ถึงหอพัก และระหว่างปรับความเข้าใจ เพื่อคงสภาพคนรักต่อไปนั้น น.ส.เจนจิรา ปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย ฝ่ายชายจึงใช้อาวุธปืนที่เตรียมไว้จ่อยิงเข้าแสกหน้า 1 นัด จากนั้นจึงลงมือชำแหละศพเป็นชิ้นๆ หย่อนทิ้งลงโถส้วม แต่ส่วนศีรษะนำแยกไปโยนทิ้งสะพานข้ามแม่น้ำบางปะกง คดีนี้ นายเสริมตั้งประเด็นต่อสู้ว่าเกิดจากบันดาลโทสะ และทำไปด้วยความรัก ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่ติดจริง 8 ปี
คดีสะเทือนขวัญที่สังคมไทยไม่อาจลืมได้อีกคดีหนึ่ง คือ การฆาตกรรมชำแหละศพ แพทย์หญิง ผัสพร บุญเกษมสันติ อดีตสูตินรีแพทย์ รพ.บุรฉัตรไชยากร หรือ รพ.รถไฟ โดยเงื้อมมือมัจจุราชคนใกล้ตัวนายแพทย์ วิสุทธิ์ บุญเกษมสันติ สูตินรีแพทย์ รพ.จุฬาฯ
เหตุการณ์ดังกล่าวถูกเปิดเผยขึ้นเมื่อวันที่ 23 ก.พ. 2544 โดย หมอวิสุทธิ์ เข้าพบตำรวจ ให้ช่วยติดตามภรรยาที่หายจากบ้านพักไปอย่างไร้ร่องรอย จากจุดนี้เองทำให้ขบวนการตามล่าหาความจริงจึงเกิดขึ้น ทั้งในส่วนของตำรวจ นักข่าวสายอาชญากรรมผู้ใคร่ค้นหาความจริง และเบาะแสต่างๆ จากญาติมิตร เพื่อนฝูง กระทั่งพบว่าเป็นการหายตัวอย่างมีพิรุธ
เริ่มจากคลิปภาพตอนที่หมอวิสุทธิ์ประคองภรรยาออกมาจากร้านอาหารญี่ปุ่นในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว ต่อมาตำรวจขอหมายค้นเข้าตรวจสอบห้องพัก 318 อาคารวิทย์นิเวศน์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นห้องพักของหมอวิสุทธิ์ พบคราบเลือด และเศษกระดูกมนุษย์เล็กๆ จึงตัดสินใจเปิดบ่อเกรอะ พบชิ้นเนื้อมนุษย์จำนวนหนึ่ง ขณะเดียวกัน มีการตรวจสอบห้องพักโรงแรมโซฟิเทล เซ็นทรัลพลาซา ที่หมอวิสุทธิ์ ไปเปิดไว้ เพื่อทิ้งชิ้นส่วนศพ เมื่อเจ้าหน้าที่สูบบ่อปฏิกูลออก ก็พบชิ้นเนื้อซึ่งเข้าใจว่าเป็นของแพทย์หญิง ผัสพร จำนวนมากเช่นกัน
คดีนี้ศาลลงโทษประหารชีวิต แต่ได้ลดโทษเรื่อยมา หมอวิสุทธิ์ติดคุกจริง 10 ปี 9 เดือนก่อนพ้นโทษ เชื่อว่าหลายคนคงจำสีหน้าแววตานิ่งๆ ของเขาได้ และจนบัดนี้ยังไม่เป็นที่เปิดเผยว่า เพราะเหตุใด หมอวิสุทธิ์ จึงตัดสินใจพรากชีวิตภรรยาไปจากครอบครัว แม้แต่นักข่าวสายอาชญากรรมที่ติดตามคดีอย่างใก้ลชิดก็ยังไม่สามารถสรุปเหตุผลชัดๆ ได้ แต่แน่นอนว่าต้องเกิดจากความรักที่แปรสภาพมาเป็นความกดดัน จนที่สุดเมื่อไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ จึงเป็นที่มาของความรุนแรง เป็นคดีฆาตกรรมสุดสยองที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นอีก
มาถึงคดี “ศยามล” โด่งดังสุดๆ ในปี 2536 จุดเริ่มมาจากเช้าตรู่วันหนึ่ง ระหว่างชาวบ้านย่านหนองปลาไหล หมู่ 2 ต.ไร่มะขาม อ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี กำลังกุลีกุจอเริ่มภารกิจประจำวันใหม่ รวมทั้งพระภิกษุต้องออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ตามกิจของสงฆ์ ปรากฏว่า ระหว่างทางพบรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ สีขาว ทะเบียน ก 2344 ประจวบคีรีขันธ์ จอดทิ้งอยู่ริมทาง ภายในรถมีเสียงร้องของเด็กเล็กแว่วมาเป็นระยะ สิ่งผิดปกติดังกล่าวบอกเหตุว่าน่าจะเกิดอะไรไม่ดีขึ้นแล้ว และเมื่อเข้าไปใกล้ๆ ก็พบภาพอุจาดตา เป็นศพหญิงสาวนอนตายบริเวณเบาะนั่งข้างคนขับ สภาพศพมีบาดแผลถูกแทงลำตัว 3 แห่ง เลือดกระจายทั่วทั้งคัน แต่แห้งเกรอะกรังแล้ว ท่อนล่างกางเกงถูกรูดมากองอยู่ที่เข่า ส่วนเด็กในรถเป็นเด็กหญิงอายุราว 2 ขวบเศษ อยู่ในอาการตัวสั่นงันงก ต้องปลอบประโลม และหานม หาน้ำมาช่วยกันอย่างฉุกละหุก
เมื่อเจ้าหน้าที่ สภ.บ้านลาด จ.เพชรบุรี มาสอบสวนยังที่เกิดเหตุ ทราบต่อมาคนตาย คือ นางศยามล ลาภก่อเกียรติ อายุ 30 ปี เป็นภรรยานายแพทย์ บัณฑิต โฆษิตชัยวัฒน์ แพทย์ประจำโรงพยาบาลหัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเป็นเจ้าของร้านขายยา “จี้อันตึ้ง” ส่วนเด็กหญิงที่พบในรถเป็นบุตรสาวชื่อ ด.ญ.อิงอิง
หลังทราบรายละเอียดเบื้องต้น ตำรวจได้เชิญผู้เกี่ยวข้องประกอบด้วย ญาติทั้ง 2 ผ่ายรวมทั้งพยานมาสอบปากคำทั้งหมด ทราบว่า ครอบครัวของนางศยามล เดิมอยู่ จ.เพชรบุรี มีฐานะค่อนข้างดี เป็นที่นับหน้าถือตาของคนท้องถิ่น ส่วน หมอบัณฑิต ถือเป็นดาวรุ่ง เป็นหนุ่มเนื้อหอมประจำหัวหิน ความสัมพันธ์ระหว่างศยามล กับ หมอบัณฑิต ทางครอบครัวทั้งคู่ทราบเพียงว่าคบหากัน กระทั่งฝ่ายหญิงตั้งครรภ์ ทั้งที่ยังไม่มีการตบแต่ง หรือสู่ขอ แต่กลับไปแอบจดทะเบียนสมรสกัน พ่อ - แม่ ฝ่ายหญิง จึงโกรธ ยื่นข้อเสนอให้เลือกว่า จะ “เอาผัว” หรือ “ครอบครัว” ปรากฏว่า นางศยามล เลือกครอบครัว และขอเลิกกับหมอบัณฑิต โดยยื่นข้อเสนอขอค่าเลี้ยงดูบุตร 2 ล้านบาท
ปมประเด็นดังกล่าว จึงมีน้ำหนักมากที่สุด และเมื่อสอบลงไปยังพบด้วยว่า ในฝ่ายหมอบัณฑิต ก็มีสาวคนใหม่เข้ามาติดพันเช่นกัน การสอบสวนใช้เวลา 1 เดือน ตำรวจสามารถจบคดีได้อย่างสวยงาม มีผู้ต้องหาทั้งหมด 6 คน ประกอบด้วย ส.ต.อ.แผ่ว ภูเต็ง นายบรรจบ นิลห้อย นายสมหมาย สังข์เคลือบ นายสมหมาย เนียมศรี นายสาธิต มีเย็น และ นายแพทย์ บัณฑิต ในฐานะผู้จ้างวานฆ่า
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบแผนประทุษกรรมในคดีนี้ เพื่อไม่ให้ขาดอรรถรสสรุปได้ว่า เมื่อ นางศยามล ไม่ยอมเลิกราง่ายๆ หมอบัณฑิต จึงติดต่อทีมฆ่าให้สะกดรอยและลักพาตัวอดีตเมียรัก ระหว่างขับรถออกจากร้าน ส่วนตัวหมอเอง ทำทีเดินทางไปพักผ่อนที่ จ.ภูเก็ต เมื่อแผนขั้นแรกสำเร็จ คือ ลักพาตัวเรียบร้อย หมอบัณฑิต จึงรีบขับรถกลับมายัง จ.ประจวบฯ และรับเอา ด.ญ.อิงอิง ไปดูแลชั่วคราว ส่วน นางศยามล ให้ทีมฆ่าไปจัดฉากทำเป็นคดีข่มขืน - ชิงทรัพย์ แต่คนตายขัดขืน จึงใช้เชือกรัดคอแล้วแทงซ้ำ จากนั้นจึงใช้ก้านกล้วยชำเราศพให้เหมือนกับการข่มขืน เมื่อแน่ใจว่า นางศยามล ตายแล้ว จึงนำ ด.ญ.อิงอิง มาปล่อยทิ้งกับศพตอนกลางดึก ด้วยเหตุผลที่ว่าทุกขั้นตอนของการจัดฉากฆาตกรรมเมียหมอบัณฑิต ไม่ต้องการให้ลูกเห็น คดีนี้ศาลพิพากษาจำคุกหมอบัณฑิตเป็นเวลา 40 ปี
ปิดท้ายด้วยคดี “นวลฉวี”ซึ่งถือเป็นฆาตกรรมคลาสสิก แม้เรื่องราวจะผ่านมาเกือบ 60 ปีแล้ว แต่หลายคนยังไม่ลืม และมักถูกยกมาเป็น “คดีครู” สำหรับตำรวจ และนักข่าวสายอาชญากรรม ซึ่งต้องทำงานคู่ขนานกันไป ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2502 มีผู้พบศพน.ส.นวลฉวี สุญาณเศรษฐกร-รามเดชะ ลอยอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใกล้สะพานนทบุรี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี สภาพศพมีรอยถูกแทงที่ลำตัว ผู้ตายสวมเสื้อสีฟ้า กระโปรงดำ มีแหวนนามสกุล “รามเดชะ” ติดอยู่นิ้วนางมือซ้าย ซึ่งเป็นเพียงหลักฐานชิ้นเดียวที่ทำให้ทราบชื่อสกุลของคนตายในเวลาต่อมา
แม้ในห้วงนั้นการสื่อสารในประเทศไทย จะล้าหลัง “สื่อหลัก” ที่เป็นยอดนิยม คือ หนังสือพิมพ์รายวัน ข่าวการฆาตกรรม “นวลฉวี” ถือว่าครึกโครม มีผู้สนใจติดตามมากที่สุดข่าวหนึ่ง และอยู่ในช่วงยึดอำนาจของ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ จึงท้าทายในฐานะผู้รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง ผลการสอบสวนมีชื่อหมออธิป สุญาณเศรษฐกร หนุ่มคนรักโผล่มาเป็นคนแรก ตามติดด้วยกลุ่มผู้ต้องสงสัย คือ นายชูยศ นางสุขสม สองผัวเมีย นายมงคล นายชูเกียรติ นายยง และ นายเยี่ยม เป็นต้น
คดีนวลฉวี ปิดฉากลงเมื่อผู้ต้องหาทั้งหมดซัดทอดมายังหมออธิป ว่า เป็นคนจ้างวานเนื่องจาก น.ส.นวลฉวี ซึ่งเป็นพยาบาล และเป็นคนรักของหมออธิป ไม่ยอมปล่อยให้หมอเป็นอิสระ ทั้งที่ฝ่ายหญิงต้องการจะเลิก แต่กลับข่มขู่ตามราวี จนหมออธิป ต้องยอมจดทะเบียนสมรสด้วย....
คดีนี้ปิดฉากด้วยความงุนงงของคนในสมัยนั้น ด้วยการตัดสินลงโทษประหารชีวิตหมออธิป แต่ต่อมาลดโทษจำคุกเหลือเพียงปีเดียวเท่านั้น โดยในการต่อสู้คดี หมออธิป ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และว่า หากเขาต้องการฆ่าภรรยาจริงๆ แล้วจะต้องไปจ้างคนอื่นให้เสียเวลาทำไม สู้ฆ่าเองด้วยการบีบคอไม่ดีกว่าหรือ....