xs
xsm
sm
md
lg

รอง ผบ.ตร.แจงเซ็น 10 ตร.ปส.สงขลา กลับรับราชการ ยันสอบไม่พบวินัยร้ายแรง (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


 
MGR Online - พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร รอง ผบ.ตร. รับผิดชอบงานวินัย แจงกรณีมีคำสั่งให้ 10 ตร.ชุด ปส.สงขลา กลับเข้ารับราชการ หลังสอบไม่พบปมวินัยร้ายแรง ยันไม่ป้องคนผิด



วันนี้ (22 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ชัยยง กีรติขจร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) รับผิดชอบงานวินัย ชี้แจงกรณีที่ได้ลงนามในคำสั่ง ตร. ที่ 231/2559 ลงวันที่ 22 เม.ย. 2559 ลงโทษ พ.ต.ท.เธนศ พงษ์รอด สว.สส.กก.สส.บก.ภ.จว.สงขลา หัวหน้าชุดปราบปรามยาเสพติด บก.ภ.จว.สงขลา พร้อมพวก รวม 10 นาย ฐานผิดวินัยไม่ร้ายแรง และให้กลับเข้ารับราชการ หลังถูกกล่าวหากระทำผิดวินัยร้ายแรง ตามคำสั่ง ตร. ที่ 187/2558 ลงวันที่ 3 เม.ย. 2558 จากกรณีที่นายตำรวจทั้ง 10 นาย ทำการจับกุม นายธีระพัฒน์ เสรีเกียรติดิลก อายุ 33 ปี ผู้ต้องหายาเสพติด พร้อมของกลางยาไอซ์ และถูกนำตัวไปควบคุมตัวไว้ในเซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง ก่อนที่จะพบศพ นายธีระพัฒน์ ผูกคอตายอย่างมีเงื่อนงำ โดยผลชันสูตรของแพทย์นิติเวช รพ.สงขลานครินทร์ พบซี่โครงด้านขวาของนายธีระพัฒน์ หัก 4 ซี่ และปอดฉีกขาด

พล.ต.อ.ชัยยง กล่าวว่า สำหรับกรณีดังกล่าวเมื่อวันที่ 19 มี.ค. 2558 นายธีระวัฒน์ เสรีเกียรติดิลก บิดาของ นายธีระพัฒน์ ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่อศูนย์ดำรงธรรม จ.สงขลา ว่า เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2558 พ.ต.ท.ธเนศ กับพวกได้ร่วมกันจับกุมนายธีระพัฒน์ พร้อมของกลางยาไอซ์ จากนั้นนำตัวไปควบคุมไว้ที่บ้านเลขที่ 28 หมู่ 5 ต.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ตั้งแต่วันที่ 7 - 9 มี.ค. 2558 แต่ไม่ได้นำตัวส่งพนักงานสอบสวน ก่อนจะพบว่า นายธีระพัฒน์ ผูกคอเสียชีวิตในห้องควบคุม จากการตรวจชันสูตรพลิกศพนายธีระพัฒน์ พบว่า มีกระดูกซี่โครงหักจำนวน 4 ซี่ ปอดมีรอยฉีกขาดประมาณ 2 ซม. ทำให้ทางญาติติดใจสงสัยสาเหตุการเสียชีวิต และเชื่อว่า ผู้ตายถูกเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมซ้อมทรมานจนเสียชีวิต

พล.ต.อ.ชัยยง กล่าวต่อไปว่า ต่อมาตนได้ลงนามในคำสั่ง ตร. ที่ 187/2558 ลงวันที่ 3 เม.ย. 2558 ตั้งคณะกรรมการสอบสวนตำรวจทั้ง 10 นาย โดยให้ พล.ต.ต.จักรกฤษศณ์ สิงห์ศิลารักษ์ รองจเรตำรวจ (สบ 7) เป็นประธานคณะกรรมการ พร้อมมีคำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนใช้เวลาเกือบ 1 ปี ก่อนที่จะเสนอผลการสอบสวนมายังตน ทั้งนี้ จากการตรวจสอบสำนวนการสอบสวน พบว่า พยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏไม่มีประเด็นให้สอบสวนต่อ หรือ สั่งเป็นอย่างอื่นได้ ไม่มีข้อเท็จจริง หรือ หลักฐานบ่งชี้ว่า นายตำรวจทั้ง 10 นาย กระทำผิดวินัยร้ายแรง แต่การที่ผู้ต้องหาเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัวของตำรวจตรงนี้ ถือว่าเป็นความบกพร่องในการทำงาน ขณะเดียวกัน กรณี พ.ต.ท.ธเนศ พงษ์รอด สว.สส. กก.สส.ภ.จว.สงขลา ในฐานะที่มีบัตรเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. ซึ่งตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด มาตรา 14 เจ้าหน้าที่ที่มีบัตรเจ้าพนักงาน ป.ป.ส. สามารถนำตัวผู้ต้องหาไปควบคุมได้ 3 วัน เพื่อสืบสวนขยายผลผู้ต้องหา แต่กรณีนี้ไม่รายงานต่อเลขาธิการ ป.ป.ส. ตามระเบียบ ตรงนี้ถือเป็นความผิด แต่ไม่ถึงขั้นความผิดวินัยร้ายแรง ฉะนั้น เมื่อพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบพบเป็นเช่นนี้ เราก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทางตำรวจด้วย ขณะที่ในส่วนของคดีการเสียชีวิตเป็นเรื่องคดีอาญาก็ว่ากันไปตามกระบวนการ ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในความรับผิดชอบของสำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตภาครัฐ หรือ ป.ป.ท.

พล.ต.อ.ชัยยง กล่าวว่า ส่วนที่มีคำสั่งศาลจังหวัดสงขลา ที่ไต่สวนถึงสาเหตุการเสียชีวิตของนายธีระพัฒน์ โดยระบุว่า เสียชีวิตเพราะสมองขาดอากาศ จากการกดทับบริเวณลำคออันเกิดจากการทำร้ายของผู้อื่น ตรงนี้เป็นข้อเท็จจริงใหม่ ซึ่งตนได้รับหลังจากที่มีคำสั่งให้ตำรวจทั้ง 10 นาย กลับเข้ารับราชการแล้ว ทั้งนี้ แม้ศาลจะมีคำสั่งเมื่อวันที่ 31 มี.ค. 2559 แต่คำสั่งศาลดังกล่าวมาถึงตนเมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2559 จากกรณีที่ นายธีระวัฒน์ นำคำสั่งศาลมาร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งตนได้ตรวจสอบไปที่ สภ.คอหงส์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ทราบว่า พนักงานอัยการ ส่งคำสั่งศาลให้ตำรวจ เมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 2559 ทั้งนี้ แม้คำสั่งศาลจะถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ แต่สำนวนการสอบสวนได้พ้นความรับผิดชอบของตนไปแล้ว ซึ่งตามขั้นตอนสำนวนสอบสวนวินัยร้ายแรง จะต้องส่งให้ ก.ตร. รับทราบ และทราบว่า อยู่ระหว่างการพิจารณาของอนุฯ ก.ตร. วินัย ตนจึงได้ส่งสำเนาคำสั่งศาลไปยัง อนุฯ ก.ตร. วินัย เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. ที่ผ่านมา

โดยล่าสุด พล.ต.อ.วินัย ทองสอง รอง ผบ.ตร. ในฐานะประธาน อนุฯ ก.ตร. วินัย จึงมีคำสั่งให้รอสำนวนคดีอาญา โดยซึ่งหากผลการสอบสวนคดีอาญา ระบุว่า ตำรวจทั้ง 10 นาย มีความผิดจริง การพิจารณาโทษทางวินัยก็จะเปลี่ยนไปด้วย โดยโทษอาจเป็นให้ออกจากราชการ หรือ ไล่ออกจากราชการ นอกจากนี้ ได้ส่งคำสั่งศาลไปยัง สำนักงานคณะกรรมการปราบปรามการทุจริตภาครัฐ หรือ ป.ป.ท. ในฐานะผู้ที่รับผิดชอบสอบสวนคดีอาญา เพื่อนำคำพากษาดังกล่าวไปประกอบการสำนวนการสอบสวนด้วย ทั้งนี้ หากทราบคำสั่งศาลก่อนก็จะสั่งให้สอบสวนข้อเท็จจริงเพิ่มเติม หรือ ให้รอสำนวนคดีอาญา

“ในการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนจะต้องพิจารณาไปตามพยานหลักฐานและข้อเท็จจริงที่ปรากฏในขณะนั้น และต้องสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี มิเช่นนั้น ก็จะเสียเปล่า อย่างกรณีนี้เท่าที่ผมตรวจสอบสำนวนการสอบสวน มีการสอบปากคำพยานรอบด้าน ทั้งญาติผู้เสียชีวิต พยานซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานที่ได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งยืนยันว่า ไม่พบร่องรอยการต่อสู้ในที่เกิดเหตุ ขณะที่รายงานการชันสูตรของแพทย์นิติเวชก็เป็นไปลักษณะของการผูกคอเสียชีวิต ส่วนซี่โครงที่หักแพทย์ระบุว่า อาจจะเกิดจากการปั๊มหัวใจ สอดคล้องกับคำให้การของเจ้าหน้าที่ที่เข้าไปช่วยชีวิตที่ให้การว่ามีการปั๊มหัวใจผู้เสียชีวิต นอกจากนี้ ได้มีการสอบปากคำผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวที่เดียวกับนายธีระพัฒน์ ยืนยันว่า ไม่พบการซ้อม หรือทำร้ายร่างกาย ส่วนเรื่องประเด็นการเรียกรับเงินวิ่งเต้นคดีไม่ปรากฏพยานหลักฐานยืนยันเรื่องนี้ได้อย่างชัดเจน แต่เมื่อมีคำสั่งศาลออกมาว่า นายธีระพัฒน์ เสียชีวิตจากการถูกทำร้ายของผู้อื่น ซึ่งแตกต่างจากผลการชันสูตรของแพทย์นิติเวชในตอนแรก ตรงนี้ถือเป็นข้อเท็จจริงใหม่ ผมก็ไม่นิ่งนอนใจรีบส่งคำสั่งศาลไปยัง ก.ตร. และ ป.ป.ท. ทันที” รอง ผบ.ตร. ระบุ

พล.ต.อ.ชัยยง กล่าวว่า การพิจารณาเรื่องนี้เป็นอย่างโปร่งใส ตรงไปตรงมา ยึดหลักกฎหมายเป็นสำคัญ ไม่มีการช่วยเหลือนายตำรวจทั้ง 10 นาย อย่างแน่นอน อีกทั้งตนเองก็ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวกับตำรวจทั้ง 10 นาย และที่ผ่านมา ตำรวจเหล่านี้ก็ไม่เคยมาวิ่งเต้นให้ตนช่วยเหลือ เพราะในแวดวงตำรวจจะทราบดีว่าตนเป็นคนอย่างไร กรณีนี้จึงเป็นการสั่งการไปตามอำนาจหน้าที่ในฐานะที่รับผิดชอบงานวินัย เป็นคำสั่งตามหน้างานที่รับผิดชอบ ยืนยันไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน

“ผมรับราชการมาถึงตรงนี้ได้ เพราะความตรงไปตรงมา หากเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องผมก็ไม่ยอมรับ เรื่องนี้คนในแวดวงตำรวจจะรู้ดีว่าผมเป็นคนอย่างไร ก่อนจะลงนามในคำสั่งผมก็คำนึงถึงความรู้สึกของญาติผู้เสียชีวิตนะว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรที่ต้องสูญเสียญาติไป ขณะเดียวกันในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชา หากลูกน้องทำผิดจริงผมไม่เอาไว้ แต่กรณีนี้ผมมองว่าตำรวจเขาไปทำงาน มีการจับกุมผู้ต้องหาได้ มีของกลางยาไอซ์ หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอก็ต้องให้เขากลับเข้ารับราชการ ส่วนเรื่องคดีอาญาก็ว่ากันไป” รอง ผบ.ตร. กล่าว
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น