MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษากลับ ยกฟ้อง “หรั่ง เทวรัตน” อดีตลูกน้อง เสธ.แดง ค้าอาวุธสงครามช่วงชุมนุม นปช.ปี 53 ชี้พยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำเพียงพอว่าทำกระทำผิดตามฟ้อง เจ้าตัวฝากบอกพวกพ้องพอได้เเล้ว เลิกชุมนุมทางการเมือง หาอาชีพสุจริตทำดีกว่า
เมื่อเวลา 13.45 น. วันนี้ 11 ส.ค.ที่ห้องพิจารณา 906 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาฎีกา คดีดำ อ.1223/55 อาญา ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายสุรชัย หรือหรั่ง เทวรัตน์ แนวร่วม นปช. และอดีตคนสนิท พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง เป็นจำเลยในความผิดฐาน กระทำผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 จากกรณีเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2553 จำเลยกับพวกได้ครอบครองและจำหน่ายอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนและวัตถุระเบิด หรือลูกระเบิด ซึ่งเป็นอาวุธปืนหรือเครื่องกระสุนปืนที่นายทะเบียนอนุญาตให้ไม่ได้ และเป็นยุทธภัณฑ์ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุเกิดที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 2556 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องนายสุรชัย เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักไม่เพียงพอ มีพิรุธน่าสงสัย ต่อมาอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ต่อมาวันที่ 17 ก.ค. 2558 ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำคุกนายสุรชัย จำเลย รวม 26 ปี 8 เดือน นายสุรชัยจึงยื่นฎีกา คัดค้าน คำพิพากษาอุทธรณ์ โดยในวันนี้จำเลยเดินทางมาศาลพร้อมครอบครัวและทนายความ
ศาลฎีกาพิเคราะห์พยานหลักฐานคู่ความทั้งสองเเล้ว เห็นว่าคดีนี้อยู่ในอำนาจความรับผิดชอบของดีเอสไอ ตั้งแต่แรก โดยพยานโจทก์ซึ่งเป็นรองอธิบดีดีเอสไอได้เบิกความว่าเป็นผู้นำเงิน 6 หมื่นบาทไปล่อซื้ออาวุธสงครามจากจำเลย โดยมีสายข่าวของกองทัพเรือเป็นผู้ดำเนินการซึ่งผิดวิสัยการล่อซื้อของกลางที่มีจำนวนมาก แม้จะอ้างว่าการล่อซื้อครั้งนี้เป็นข้อมูลเพื่อขยายผลสู่การจับกุมผู้ค้าอาวุธรายใหญ่ แต่การล่อซื้อนี้จำนวนมากในครั้งนี้ก็นับว่าเป็นผู้ค้ารายใหญ่เช่นกัน โดยดีเอสไอไม่ได้รวบรวมพยานหลักฐานของกลางทุกชนิดและพฤติการณ์ความผิดของจำเลยตั้งแต่ต้นแล้ว พยานของโจทก์ที่เป็นผู้ล่อซื้ออาวุธสงครามเจ้าหน้าที่ทหารจากกองทัพเรือ เเต่ในการล่อซื้อก็ไม่ได้มีกรมสอบสวนคดีพิเศษซึ่งเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบคดีโดยตรงในการล่อซื้อเข้ามาร่วมด้วย
พยานโจทก์ปาก รองอธิบดีดีเอสไอเป็นเพียงพยานบอกเล่า ส่วนสายข่าวของกองทัพเรือซึ่งเป็นพยานปากเอกที่อยู่ในเหตุการณ์แต่ก็ต้องรับฟังพยานอย่างระมัดระวัง เนื่องจากเป็นพยานปากเดียว โดยพยานปากเอกดังกล่าวไม่ได้เป็นสายข่าวมาตั้งแต่แรก แม้จะเบิกความว่าหลังล่อซื้อแล้วได้นำเจ้าหน้าที่ดีเอสไอไปชี้ในที่เกิดเหตุแต่ปรากฏว่ามีการทำบันทึกของกลางหลังเกิดเหตุนานถึง 2 เดือน ที่ดีเอสไออ้างว่าที่ไม่ได้ทำการจับกุมจำเลยตั้งแต่แรกเนื่องจากต้องขยายผลจับกุมรายใหญ่ต่อก็ไม่ใช่ข้ออ้างที่จะไม่ทำบันทึกของกลาง อีกทั้งในวันที่ล่อซื้อก็ได้ไปตรวจของกลางด้วยจึงยังฟังไม่ได้ว่าเป็นสาเหตุที่จัดทำบันทึกของกลางนาน อีกทั้งหลังจับกุมก็ได้นำกลางไปแถลงข่าวจึงไม่เชื่อว่าเป็นการขยายผลเพื่อล่อซื้ออีกในครั้งต่อไป
ต่อมาจำเลยได้มีการหลบหนี ทางดีเอสไอไม่ได้สอบสวนต่อและไม่ได้ขอออกหมายจับจำเลยในคดีนี้ แต่ทางดีเอสไอกลับขอออกหมายจับจำเลยกลับพวกในคดีอื่นซึ่งเป็นเหตุการณ์ในช่วงเดียวกันในข้อหาร่วมกันใช้และสนับสนุนก่อการร้ายโดยไม่มีคดีนี้รวมอยู่ด้วย ซึ่งหลังจากจับกุมจำเลยได้ในคดีอื่น ดีเอสไอจึงให้เจ้าหน้าที่ไปแจ้งข้อกล่าวหาจำเลยค้าอาวุธสงครามนี้ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ส่วนหลักฐานอื่น เช่น พยานที่อยุ่ในที่เกิดเหตุที่อ้างว่าเป็นเพื่อนของจำเลยทางโจทก์ก็ไม่ได้นำมาสืบ อีกทั้งบันทึกโทรศัพท์ที่อยู่ในช่วงเกิดเหตุก็ไม่ปรากฏในสำนวน ดังนั้นพยานโจทก์ยังมีข้อสงสัยว่าจำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยพิพากษากลับยกฟ้องริบของกลาง
ภายหลังฟังคำพิพากษา นายสุรชัยได้ลุกขึ้นขอบคุณศาลและสวมกอดภรรยา แม่และลูกสาวด้วยน้ำตาคลอเบ้า พร้อมให้สัมภาษณ์ว่ารู้สึกดีใจและขอขอบคุณศาลที่ยกฟ้อง ทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีความยุติธรรมอยู่ สำหรับคดีนี้ในชั้นฝากขังและคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ตนถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำนานกว่า 2 ปี หากรวมคดีก่อการร้ายด้วยก็อยู่ในเรือนจำเกือบ 3 ปี และเชื่อว่าเมื่อศาลยกฟ้องคดีค้าอาวุธสงครามแล้วก็รู้สึกโล่ง ส่วนคดีก่อการร้ายก็คงเบาลงเยอะ ทั้งนี้ ภายหลังจาก พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง เสียชีวิตแล้วเมื่อปี 2553 ตนก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุมของกลุ่ม นปช.อีก โดยกลับไปทำงานรับจ้างทั่วไปตามปกติ อยากเตือนผู้ที่คิดจะชุมนุมทางการเมืองก็ให้เลิกได้แล้ว
