MGR Online - ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ลงโทษ 4 โจ๋วางระเบิดร้านทำผมออกัส หน้ารามคำแหง ฐานใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นโทษหนักสุด จำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน
วันที่ (30 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 911 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ คดีลอบวางระเบิดย่านรามคำแหง หมายเลขดำ อ.3723/2556 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 6 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอัฟฟาฮัม สะอะ ชาวปัตตานี, นายอิดริส สะตาปอ ชาวนราธิวาส, นายคัมภีร์ ลาเต๊ะ ชาวปัตตานี และนายอิลรอเฮ็ง แวแม ชาวปัตตานี เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันพยายามฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, กระทำให้เกิดระเบิดเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่ทรัพย์ของผู้อื่น, ร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย และร่วมกันพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่มีเหตุสมควร
ตามฟ้องโจทก์ บรรยายพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 2556 เวลากลางคืน จำเลยทั้งสี่ได้ร่วมกันประกอบวัตถุระเบิดแสวงเครื่องแล้วนำไปวางไว้บริเวณจุดทิ้งขยะหน้าร้านออกัส รามคำแหง 43/1 จนระเบิดขึ้นทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 7 ราย และมีร้านค้าแผงลอย อาคารบริเวณใกล้เคียงได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 402,000 บาท หลังเกิดเหตุทั้งหมดพากันหลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องและได้จับกุมจำเลยดำเนินคดีตามกฎหมาย เกิดเหตุที่หน้าร้านทำผมออกัส ปากซอยรามคำแหง 43/1 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธชั้นพิจารณาคดี
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่า อัยการโจทก์มีพนักงานสอบสวนหลายปากเป็นพยานเบิกความว่า ได้ตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการณ์วันเกิดเหตุ พบจำเลยที่ 1, 2 และ 4 อยู่ที่บริเวณจุดเกิดเหตุ ส่วนจำเลยที่ 3 สวมหมวกแก๊ป ผ้าปิดปาก อำพรางใบหน้า เดินถือถุงหิ้วไปยังจุดเกิดเหตุ เมื่อประสานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภาคใต้ตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือของจำเลยก็พบความเชื่อมโยงการใช้ติดต่อระหว่างจำเลยทั้งสี่ ซึ่งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1 รับสารภาพว่าเป็นผู้ลงมือก่อเหตุและยังให้การสอดคล้องกับภาพในกล้องวงจรปิด โดยพวกจำเลยเดินทางโดยรถไฟจาก จ.ยะลา มาที่สถานีหัวลำโพง และนำสารระเบิดใส่ในกระป๋องแป้งมาด้วย แล้วมาอาศัยอยู่ภายในบ้านพัก ซ.รามคำแหง 53 ก่อนจะไปซื้อตะปู ท่อน้ำ สี แอลกอฮอล์ และนาฬิกาตั้งเวลา ซึ่งเป็นอุปกรณ์ประกอบระเบิดที่ร้านค้าและห้างสรรพสินค้าย่านรามคำแหง โดยหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยได้แยกย้ายกันหลบหนีด้วยรถไฟกลับไป จ.ยะลา
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 224, 289, 371 และ พ.ร.บ.อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 55, 78 วรรคท้าย ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และ 83 การกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม ฐานร่วมกันพยามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และกระทำให้เกิดระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น อันเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดกฎหมายหลายบท ให้จำคุกตลอดชีวิตจำเลยทั้งสี่ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนซึ่งเป็นบทหนักสุด และให้จำคุกตลอดชีวิตอีกฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิด ที่นายทะเบียนออกใบอนุญาตให้ไม่ได้ไว้ในครอบครอง และให้ปรับจำเลยที่ 1-4 อีกคนละ 90 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านฯ โดยคำให้การเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดีอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษเห็นควรลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยทั้งสี่ คนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นฯ และจำคุกอีกคนละ 33 ปี 4 เดือน ฐานกระทำให้เกิดระเบิดฯ โดยปรับคนละ 60 บาท ฐานพาอาวุธไปในเมืองฯ แต่เมื่อรวมโทษทุกกระทงตามกฎหมายแล้ว ให้จำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (2) และให้ริบของกลาง รวมทั้งให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ได้รับบาดเจ็บ ร้านค้า และหน่วยงานรัฐที่ได้รับความเสียหายด้วย ต่อมาจำเลยทั้งสี่ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษากันแล้วเห็นว่า คดีนี้จำเลยทั้งสี่ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยสมัครใจ แม้โจทก์จะไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็น แต่พนักงานสอบสวนก็ได้ทำบันทึกคำให้การรับสารภาพ มีการจัดให้จำเลยทั้งสี่นำชี้จุดที่เกิดเหตุ รวมทั้งมีภาพบันทึกขั้นตอนการสอบสวนไว้ ที่จำเลยทั้งสี่อ้างว่าถูกบังคับให้รับสารภาพ แต่ไม่ปรากฏว่ามีการร้องเรียนผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่ตำรวจแต่อย่างใด ทั้งที่จำเลยทั้งสี่มีสิทธิคัดค้านได้ในชั้นสอบสวน พยานหลักฐานต่างๆ ของโจทก์เป็นลำดับขั้นตอนเชื่อมโยงกันว่าจำเลยทั้งสี่ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง โดยไม่ปรากฏว่าพยานโจทก์มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีข้อระแวงเรื่องพยานโจทก์จะกลั่นแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย
อย่างไรก็ตาม ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสี่ในความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษเบากว่าฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่นนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสี่มีความผิดตาม ป.อาญา มาตรา 221, 222, 224 วรรคสาม, 289 (4), 80, 371, พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ศ. 2490, ฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่สามารถออกใบอนุญาตให้ได้, ฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่น, ฐานร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนน่าจะเกิดอันตรายแก่บุคคลอื่นหรือทรัพย์สินของผู้อื่น และฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทให้ลงโทษฐานร่วมกันใช้วัตถุระเบิดเพื่อฆ่าผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุน วัตถุระเบิดฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 78 วรรคสาม ที่เป็นบทลงโทษหนักสุด ให้จำคุกจำเลยทั้งสี่ตลอดชีวิต คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 33 ปี 4 เดือน ปรับคนละ 60 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น