MGR Online - ตำรวจโชคชัยส่งสำนวน 7 โจ๋รุมฆ่าชายพิการ ส่งฟ้องข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, พกพาอาวุธไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ บุกรุกเคหสถาน มีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้าย ไร้ข้อหา “ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง” อ้างพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนัก ด้านอธิบดีอัยการคดีอาญายันไม่ทำงานตามกระแส ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
วันนี้ (21 มิ.ย.) ที่สำนักอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.อลงกรณ์ ศิริสงคราม รอง ผกก.หัวหน้างานสอบสวน สน.โชคชัย พร้อมคณะ ได้นำสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 9 พิจารณาสั่งคดี
ภายหลัง พ.ต.ท.อลงกรณ์กล่าวว่า วันนี้เดินทางนำสำนวนส่งให้อัยการจำนวน 417 แผ่น โดยผู้ต้องหาที่ 1-7 ถูกแจ้งข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, ร่วมพกพาอาวุธมืดไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุผลสมควรฯ และผู้ต้องหาอีก 4 ถูกดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธและใช้กำลังประทุษร้าย ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ทางพยานสอบสวนยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม ทางตำรวจไม่รู้สึกกังวลใดๆ เนื่องจากได้สอบสวนจากพยานหลักฐานที่มีอยู่จริงและให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า หากอัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติมให้ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนจะทำได้หรือไม่ พ.ต.ท.อลงกรณ์กล่าวว่า หากพนักงานอัยการพิจารณาแล้วเข้าหลักเกณฑ์ในข้อหาดังกล่าว อัยการก็สามารถสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวได้
ด้านนายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า ตนจะต้องขออ่านสำนวนที่พนักงานสอบสวนส่งมาให้ละเอียดเรียบร้อยก่อน เนื่องจากมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามที่จะให้มีการแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นตายโดยไตร่ตรอง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ให้ได้เพื่อจะมีการแถลงข่าวต่อไป แต่ขอยืนยันว่าตนจะไม่ทำงานตามกระแส ต้องดูเหตุและผลในพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน วันนี้คงยังไม่มีอะไรมาก เป็นแค่การรับสำนวนจากพนักงานสอบสวนเท่านั้น
ขณะที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวถึงเรื่องที่นายอนันตชัย ทนายความ ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุดพิจารณาเพื่อให้เพิ่มข้อกล่าวหากับกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พร้อมคัดค้านไม่ให้นายปรเมศวร์ มีส่วนร่วมพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว ว่าคงไม่เป็นไรเพราะตนไม่ได้ทำคดีนี้อยู่แล้ว ทางสำนักงานอัยการกองคดีอาญา 9 ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสำนวนนั้นไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ดูแลของตน แต่เป็นรองอธิบดีอีกคนหนึ่ง และถึงแม้ตนได้รับมอบหมายให้ดูแลคดีนี้ก็จะต้องถอนตัวอยู่แล้วเพื่อความสบายใจ ตนเองก็เป็นคนแนะนำเองว่าถ้าหากไม่สบายใจก็ตั้งข้อ “รังเกียจ” ซึ่งจริงแล้วมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ปกติแล้วใช้สำหรับผู้พิพากษาซึ่งจะใช้กรณีที่ขัดแย้งโกรธเคืองกัน ตนก็แนะนำให้นายอนันตชัยยื่นไปเพื่อความสบายใจ ส่วนการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้น นายอนันตชัยจะต้องไปขอที่ศาล ศาลก็จะอนุญาตหากได้ความว่าเป็นผู้เสียหายจริง แต่ที่ตนเคยเตือนไว้ตั้งแต่แรกว่าการที่ไปพูดมากๆ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องสมัครใจทะเลาะวิวาทและไม่ได้กลายเป็นผู้เสียหาย สิทธิมันก็จะหายไป
“มาตรา 288 นั้นก็มีโทษสูงสุดให้ประหารชีวิต ถ้าเราสืบพยานแล้วเห็นว่าเด็กพวกนี้กระทำความผิดเป็นคนชั่วร้ายมาก โทษประหารชีวิตนั้นศาลก็ลงได้อยู่แล้ว แต่การไปกำหนดว่าจะต้องเข้ามาตรา 289 ซึ่งเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ถ้าข้อเท็จจริงมันได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าข้อเท็จจริงมันไม่ได้แล้วเราไปฟ้องแบบนั้นมันเท่ากับบีบบังคับกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะศาลมากไป ศาลท่านสามารถใช้ดุลพินิจได้ ที่ผมทักท้วงคือตรงนี้ผมไม่ได้บอกว่าไม่ฟ้อง แต่จะฟ้อง 288 หรือ 289 ต้องดูสำนวนก่อน แต่การเที่ยวออกไปพูดอยู่บ่อยๆ ผมว่ามันไม่ดี” นายปรเมศวร์กล่าว
เมื่อถามว่าหากสุดท้ายพนักงานอัยการไม่สั่งฟ้องในมาตรา 289 แต่สุดท้ายแล้วทางญาติผู้เสียชีวิตได้เข้าเป็นโจทก์ร่วมและนำพยานหลักฐานเข้าสืบแล้ว ตามกฎหมายแล้วศาลจะสามารถลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289 ได้หรือไม่ นายปรเมศวร์กล่าวว่า ศาลจะลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 แต่อาจจะกำหนดโทษบทหนักให้ประหารชีวิตได้ซึ่งไม่ต่างกัน แต่ที่นายอนันตชัยต้องการคืออยากให้ศาลกำหนดโทษประหารชีวิตสถานเดียว ถ้าหากเราฟ้องมาตรา 289 แต่ศาลฟังว่าผิดตามมาตรา 288 ก็สามารถลงโทษประหารได้ แต่โดยปกติแล้วนักกฎหมายจะไม่ตั้งข้อหาหนักกว่าที่ข้อเท็จจริงปรากฏ การตั้งข้อหาหนักจะทำให้ใช้หลักทรัพย์เยอะ การประกันตัวลำบาก แต่โทษในคดีนี้ก็สูงถึงขั้นประหารชีวิตได้อยู่แล้ว ถ้าเห็นศาลเห็นพฤติการณ์ว่าเลวร้ายก็สามารถที่จะกำหนดบทลงโทษหนักได้
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ วันเดียวกันเวลา 10.00 น.วันนี้ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ และประจักษ์พยานคดีฆ่าชายพิการ พร้อมด้วยนางทองคำ ศรีจันทร์ มารดาของนายสมเกียรติ ศรีจันทร์ อายุ 36 ปี ชายพิการอาชีพส่งขนมปังร้าน “ปังหอม” ผู้เสียชีวิต เดินทางมายื่นหนังสือถึง ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อขอคัดค้าน และตั้งข้อ “รังเกียจ” กรณีที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาจะเข้ามาร่วมรับผิดชอบคดี ที่พนักงานสอบสวน สน.โชคชัยรวบรวมหลักฐานกล่าวหานายพีรพล ยศพงศ์อนันต์ กับพวกรวม 7 คน ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่านายสมเกียรติ ทั้งนี้มีพยานหลักฐานสำคัญเป็นบันทึกการถอดเทปรายการถามตรง ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 เมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2559 ที่นายปรเมศวร์ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติการณ์และข้อกฎหมายทางคดี รวมทั้งบันทึกการโพสต์ข้อความเฟซบุ๊กของนายปรเมศวร์ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 59 โดยมีนายพันธุ์โชติ บุญศิริ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 เป็นผู้รับหนังสือ ซึ่งในหนังสือระบุว่าหากคดีนี้มีนายปรเมศวร์ร่วมเป็นคณะทำงานด้วยก็จะขอให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งห้ามนายปรเมศวร์ร่วมเป็นคณะทำงานพิจารณาคดีดังกล่าว
ภายหลังนายอนันต์ชัย ทนายความของมารดาผู้ตาย กล่าวว่า คดีนี้พนักงานสอบสวน สน.โชคชัยได้แจ้งข้อกล่าวหาฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา, บุกรุก, พกพาอาวุธในที่สาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนข้อหาทะเลาะวิวาทนั้น พนักงานสอบสวนแจ้งว่าไม่มีข้อหานี้ เราในฐานะผู้เสียหายก็สบายใจเพราะไม่ต้องวิตกกังวล และเมื่อพนักงานสอบสวนได้ส่งสำนวนพยานหลักฐานให้อัยการฝ่ายคดีอาญา 9 พิจารณาในวันนี้ ตนจึงต้องมายื่นหนังสือต่ออัยการ 2 เรื่อง คือ 1. ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมกรณีที่พนักงานสอบสวนไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตนได้นำพยานวัตถุที่จะแสดงให้เห็นว่ากลุ่มผู้ต้องหาได้โทรศัพท์หากันและเตรียมอาวุธมา รวมทั้งพยานบุคคลที่จะแสดงให้เห็นว่ามีประเด็นใดบ้างที่เข้าข่ายเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมทั้งแผ่นซีดีบันทึกคำสัมภาษณ์ส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณา และเมตตาครอบครัวผู้เสียหายในการตั้งข้อกล่าวหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ส่วนเรื่องที่ 2 คือ กรณีนายปรเมศวร์ซึ่งเป็นรองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้สัมภาษณ์สื่อ แต่ให้สัมภาษณ์ในทำนองว่าเรื่องนี้ไม่เข้าข่ายฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และให้ความเห็นด้วยว่าญาติผู้ตายไม่อาจขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้เพราะผู้ตายสมัครใจทะเลาะวิวาท และอาจจะเรียกค่าเสียหายไม่ได้ นอกจากนี้ นายปรเมศวร์ยังโพสต์ในเฟซบุ๊กว่าฝ่ายผู้ตายกดดันตำรวจ อัยการ ศาล และให้ผู้เสียหายไปฟ้องเอง เรื่องนี้ไม่ว่าจะถูกหรือผิดจะบวกหรือลบ นายปรเมศวร์ซึ่งเป็นถึงรองอธิบดีฯ ไม่ควรจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ เพราะถือว่ามีส่วนได้เสียที่จะต้องรับผิดชอบสำนวนคดี เราไม่ได้กดดันอัยการ เพราะขณะนี้ตำรวจเพิ่งส่งสำนวนและไม่ทราบว่าอัยการคนใดรับผิดชอบ แม้กระทั่งศาลก็เช่นเดียวกัน เรื่องนี้จะยุติได้เมื่อคดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางศาล
“เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตามกระแส แต่เป็นการร้องเรียนขอความเป็นธรรมในขั้นตอนต่างๆ และที่มีการกล่าวว่าไปกดดันตำรวจ อัยการ ศาลนั้นไม่เป็นความจริง เราพยายามอย่างถึงที่สุดแล้วในการต่อสู้เพื่อคนตาย หากท้ายที่สุดอัยการสูงสุดไม่สั่งให้สอบเพิ่มเติมในข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เราก็ต้องยอมรับ แต่ในชั้นศาล นางทองคำจะขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมและนำสืบให้ศาลเห็นว่ากลุ่มผู้ต้องหามีพฤติการณ์อย่างไร ซึ่งศาลก็อาจมีดุลพินิจที่จะลงโทษสูงสุดถึงจำคุกตลอดชีวิตและประหารชีวิตได้” นายอนันตชัยกล่าว
เมื่อถามว่า การทำงานร่วมกับอัยการจะมีปัญหาหรือไม่ นายอนันตชัยกล่าวว่า ถ้าคดีเข้าสู่ชั้นศาลแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการทำงานร่วมกัน เพราะตนจะทำงานตามที่พนักงานอัยการวางแนวทางไว้