ผู้จัดการรายวัน360-ตำรวจโชคชัยส่งสำนวน 7 โจ๋รุมฆ่าชายพิการ ส่งฟ้องข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา,พกพาอาวุธมืดไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ บุกรุกเคหสถาน มีอาวุธมือและใช้กำลังประทุษร้าย ไร้ข้อหา ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรอง อ้างพยานหลักฐานไม่มีน้ำหนัก ด้านอธิบดีอัยการคดีอาญายันไม่ทำงานตามกระแส ให้ความเป็นธรรมทุกฝ่าย
วานนี้( 21 มิ.ย.)ที่สำนักอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.อลงกรณ์ ศิริสงคราม รอง ผกก.หัวหน้างานสอบสวน สน.โชคชัย พร้อมคณะ ได้นำสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 9 พิจารณาสั่งคดี โดยผู้ต้องหาที่ 1-7 ถูกแจ้งข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา,ร่วมพกพาอาวุธมืดไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุผลสมควรฯ และผู้ต้องหาอีก 4 ถูกดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธมือและใช้กำลังประทุษร้าย ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นทางพยานสอบสวนยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามทางตำรวจไม่รู้สึกกังวลใด ๆ เนื่องจากได้สอบสวนจากพยานหลักฐานที่มีอยู่จริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า หากอัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติมให้ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จะทำได้หรือไม่ นั้นว่า หากพนักงานอัยการพิจารณาแล้วเข้าหลักเกณฑ์ในข้อหาดังกล่าว อัยการก็สามารถสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวได้
ด้านนายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า ตนจะไม่ทำงานตามกระแส จะต้องดูเหตุและผลในพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน วันนี้คงยังไม่มีอะไรมาก เป็นแค่การรับสำนวนจากพนักงานสอบสวนเท่านั้น
ขณะที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวถึงเรื่องที่ นาย อนันตชัย ทนายความ ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาเพื่อให้เพิ่มข้อกล่าวหากับกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พร้อมคัดค้านไม่ให้นายปรเมศวร์ มีส่วนร่วมพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว ว่า คงไม่เป็นไร เพราะตนไม่ได้ทำคดีนี้อยู่แล้ว ส่วนการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้น นาย อนันตชัยจะต้องไปขอที่ศาล ซึ่งศาลก็จะอนุญาตหากได้ความว่า เป็นผู้เสียหายจริง แต่ที่ตนเคยเตือนไว้ตั้งแต่แรกๆว่า การที่ไปพูดมากๆเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องสมัครใจทะเลาะวิวาทและไม่ได้กลายเป็นผู้เสียหาย สิทธิมันก็จะหายไป
“มาตรา 288 นั้นก็มีโทษสูงสุดให้ประหารชีวิตถ้าเราสืบพยานแล้วเห็นว่าเด็กพวกนี้ กระทำความผิดเป็นคนชั่วร้ายมาก โทษประหารชีวิตศาลก็ลงได้ อยู่แล้วแต่การไปกำหนดว่าจะต้องเข้า มาตรา 289 ซึ่งเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ถ้าข้อเท็จจริงมันได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าข้อเท็จจริงมันไม่ได้แล้วเราไปฟ้องแบบนั้นมันเท่ากับบีบบังคับกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะศาลมากไป ” นายปรเมศวร์ กล่าว
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ วันเดียวกันเวลา 10.00 น.วันนี้ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ และประจักษ์พยานคดีฆ่าชายพิการ พร้อมครอบครัวผู้เสียหายเดินทางมายื่นหนังสือถึง ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อ ขอคัดค้าน และตั้งข้อ “รังเกียรติ” กรณีที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา จะเข้ามาร่วมรับผิดชอบคดี ที่พนักงานสอบสวน สน.โชคชัยรวบรวมหลักฐานกล่าวหา นายพีรพล ยศพงศ์อนันต์ กับพวก รวม 7 คน ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่านายสมเกียรติ ทั้งนี้มีพยานหลักฐานสำคัญเป็นบันทึกการถอดเทปรายการ ถามตรง ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 เมื่อวันที่ 17 พ.ค.59 ที่นายปรเมศวร์ ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติการณ์และข้อกฎหมายทางคดี รวมทั้งบันทึกการโพสต์ข้อความเฟซบุ๊ค ของนายปรเมศวร์ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.59 โดยมีนายพันธุ์โชติ บุญศิริ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 เป็นผู้รับหนังสือ ซึ่งในหนังสือระบุว่า หากคดีนี้มีนายปรเมศวร์ ร่วมเป็นคณะทำงานด้วย ก็จะขอให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งห้ามนายปรเมศวร์ ร่วมเป็นคณะทำงานพิจารณาคดีดังกล่าว
วานนี้( 21 มิ.ย.)ที่สำนักอัยการสูงสุด ถ.รัชดาภิเษก พ.ต.ท.อลงกรณ์ ศิริสงคราม รอง ผกก.หัวหน้างานสอบสวน สน.โชคชัย พร้อมคณะ ได้นำสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องกลุ่มผู้ต้องหาให้พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 9 พิจารณาสั่งคดี โดยผู้ต้องหาที่ 1-7 ถูกแจ้งข้อหาร่วมฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา,ร่วมพกพาอาวุธมืดไปในเมืองหมู่บ้านหรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุผลสมควรฯ และผู้ต้องหาอีก 4 ถูกดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานโดยมีอาวุธมือและใช้กำลังประทุษร้าย ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้นทางพยานสอบสวนยังมีน้ำหนักไม่เพียงพอ อย่างไรก็ตามทางตำรวจไม่รู้สึกกังวลใด ๆ เนื่องจากได้สอบสวนจากพยานหลักฐานที่มีอยู่จริงและให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
เมื่อถามว่า หากอัยการสั่งให้สอบเพิ่มเติมให้ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน จะทำได้หรือไม่ นั้นว่า หากพนักงานอัยการพิจารณาแล้วเข้าหลักเกณฑ์ในข้อหาดังกล่าว อัยการก็สามารถสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวได้
ด้านนายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า ตนจะไม่ทำงานตามกระแส จะต้องดูเหตุและผลในพยานหลักฐานให้ชัดเจนก่อน วันนี้คงยังไม่มีอะไรมาก เป็นแค่การรับสำนวนจากพนักงานสอบสวนเท่านั้น
ขณะที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวถึงเรื่องที่ นาย อนันตชัย ทนายความ ได้เข้าร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด (อสส.) พิจารณาเพื่อให้เพิ่มข้อกล่าวหากับกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน พร้อมคัดค้านไม่ให้นายปรเมศวร์ มีส่วนร่วมพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว ว่า คงไม่เป็นไร เพราะตนไม่ได้ทำคดีนี้อยู่แล้ว ส่วนการขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมนั้น นาย อนันตชัยจะต้องไปขอที่ศาล ซึ่งศาลก็จะอนุญาตหากได้ความว่า เป็นผู้เสียหายจริง แต่ที่ตนเคยเตือนไว้ตั้งแต่แรกๆว่า การที่ไปพูดมากๆเดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องสมัครใจทะเลาะวิวาทและไม่ได้กลายเป็นผู้เสียหาย สิทธิมันก็จะหายไป
“มาตรา 288 นั้นก็มีโทษสูงสุดให้ประหารชีวิตถ้าเราสืบพยานแล้วเห็นว่าเด็กพวกนี้ กระทำความผิดเป็นคนชั่วร้ายมาก โทษประหารชีวิตศาลก็ลงได้ อยู่แล้วแต่การไปกำหนดว่าจะต้องเข้า มาตรา 289 ซึ่งเป็นการฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อนนั้น ถ้าข้อเท็จจริงมันได้ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าข้อเท็จจริงมันไม่ได้แล้วเราไปฟ้องแบบนั้นมันเท่ากับบีบบังคับกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะศาลมากไป ” นายปรเมศวร์ กล่าว
ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถ.แจ้งวัฒนะ วันเดียวกันเวลา 10.00 น.วันนี้ นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ และประจักษ์พยานคดีฆ่าชายพิการ พร้อมครอบครัวผู้เสียหายเดินทางมายื่นหนังสือถึง ร.ต.ต.พงษ์นิวัฒน์ ยุทธภัณฑ์บริภาร อัยการสูงสุด (อสส.) เพื่อ ขอคัดค้าน และตั้งข้อ “รังเกียรติ” กรณีที่นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา จะเข้ามาร่วมรับผิดชอบคดี ที่พนักงานสอบสวน สน.โชคชัยรวบรวมหลักฐานกล่าวหา นายพีรพล ยศพงศ์อนันต์ กับพวก รวม 7 คน ผู้ต้องหาร่วมกันฆ่านายสมเกียรติ ทั้งนี้มีพยานหลักฐานสำคัญเป็นบันทึกการถอดเทปรายการ ถามตรง ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยรัฐทีวี ช่อง 32 เมื่อวันที่ 17 พ.ค.59 ที่นายปรเมศวร์ ให้สัมภาษณ์แสดงความเห็นเกี่ยวกับพฤติการณ์และข้อกฎหมายทางคดี รวมทั้งบันทึกการโพสต์ข้อความเฟซบุ๊ค ของนายปรเมศวร์ เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.59 โดยมีนายพันธุ์โชติ บุญศิริ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 1 เป็นผู้รับหนังสือ ซึ่งในหนังสือระบุว่า หากคดีนี้มีนายปรเมศวร์ ร่วมเป็นคณะทำงานด้วย ก็จะขอให้อัยการสูงสุดมีคำสั่งห้ามนายปรเมศวร์ ร่วมเป็นคณะทำงานพิจารณาคดีดังกล่าว