MGR Online - รรท.ผบช.น.ย้ำคดี 7 โจ๋ฆ่าชายพิการเป็นเหตุที่ทะเลาะที่เกิดขึ้นครั้งใหม่จนนำไปเกิดเหตุดังกล่าว จึงถือว่าไม่ไตร่ตรอง หลังรองปลัด ยธ.โพสต์ฎีกายกตัวอย่าง หากญาติไม่ได้รับความเป็นธรรมให้ร้องขอเป็นโจทก์ร่วมในชั้นศาลได้ แนะไม่รู้ข้อเท็จจริงเข้าข่ายหมิ่นเจ้าพนักงาน
วันนี้ (17 พ.ค.) เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ สน.วัดพระยาไกร พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. กล่าวถึงกรณีที่นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม โพสต์แสดงความคิดเห็นแย้งพนักงานสอบสวนคดีชายพิการถูกรุมทำร้ายว่าเข้าข่ายเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองได้ พร้อมยกฎีกามาเปรียบเทียบว่า กรณีดังกล่าวมีทั้งผู้ที่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ไม่รู้กฎหมาย และมีผู้ที่รู้กฎหมายแต่ไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด บางส่วนก็ไม่รู้กฎหมายและไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเลย มีหลายคนที่ไปแสดงความคิดเห็นโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยากจะพูดถึงเรื่องดังกล่าวแล้วเนื่องจากตอบคำถามและชี้แจงเหตุผลว่าทำไมจึงไม่สามารถแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนต่อวัยรุ่นทั้ง 7 คนได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่รองปลัดฯ คนดังกล่าวอ้างฎีกาโดยโพสต์ว่า “ดังนั้น แนวฎีกาจึงสำคัญ เพราะจะบอกเราว่าศาลตีความกฎหมายไว้อย่างไร มาดูกันว่า กรณีที่นอกจากการวางแผนแล้วนั้น ศาลตีความเรื่องระยะเวลาอย่างไร คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 218/2527 “...หลังจากทะเลาะกัน ผ่านไป 10 นาที จำเลยกลับมาใช้ปืนยิงผู้เสียหายถือว่าระยะเวลา 10 นาที เพียงพอที่จะทำให้จำเลยคิดและมีสติได้ จึงถือว่าเป็นการไตร่ตรอง...” คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 834/2520 “...หลังจากทะเลาะกันผ่านไป 10 นาที จำเลยกลับมาพร้อมปืนมายิงผู้เสียหาย ถือว่าจำเลยมีโอกาสไตร่ตรองคิดทบทวนดีแล้ว ในช่วงเวลา 10 นาทีดังกล่าวจึงถือว่าไตร่ตรองไว้ก่อน...” คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 1248/2509 “...จำเลยเกิดโทสะไปแล้ว ความคิดต่อจากนั้นจึงเป็นเรื่องของการคิดไตร่ตรองจะมาอ้างว่ายังมีโทสะอยู่ไม่ได้...” คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ 2217/2556 “...การที่มีเวลาคิดไตร่ตรอง ย่อมจะไม่ใช่เกิดเหตุปัจจุบันทันด่วน...” นั้น
พล.ต.ท.ศานิตย์กล่าวว่า จากการสอบปากคำผู้ต้องหาพบว่ากรณีดังกล่าวต้องย้อนไปตั้งแต่ที่ฝ่ายผู้ตาย และผู้ต้องหาทะเลาะกัน ซึ่งมีการท้ากันก่อนจะจบและแยกย้ายกันไปแล้ว จากนั้นฝ่ายผู้ต้องหาก็นั่งดื่มสุรากันต่อ ก่อนที่ 4 คนจะขึ้นห้องนอน ส่วนอีก 4 คนขี่จักรยานยนต์ 2 คันกลับบ้านซึ่งเป็นทางบังคับว่าทางกลับบ้านนั้นต้องผ่านหน้าร้านของผู้ตาย โดยบังเอิญผู้ตายก็ยืนอยู่หน้าร้านพร้อมมีการตะโกนด่าทอกัน ฝ่ายผู้ต้องหาก็บอกว่าขอโทษไปแล้วหลายครั้งแต่ก็ยังไม่จบ กระทั่งโต้เถียงหนักขึ้นจนนำไปสู่การเกิดเหตุดังกล่าว ก่อนที่จะโทรศัพท์เรียกเพื่อนมาช่วย ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นการไตร่ตรอง เพราะการต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจู่ๆ ผู้ต้องหาก็บุกมาบ้านและมาทำร้ายผู้ตาย แต่เป็นเหตุการทะเลาะที่เกิดขึ้นใหม่อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่าหากทางฝั่งผู้ตายรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมสามารถให้ทนายไปร้องต่อศาลได้โดยตรง หรือทางญาติผู้ตายสามารถขอเป็นโจทก์ร่วมในชั้นศาลได้เช่นกัน ทั้งนี้ตนอาจจะต้องพิจารณาบุคคลที่มาโพสต์แสดงความคิดเห็นคดีดังกล่าว โดยบางคนโพสต์แสดงความคิดเห็นโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด จึงอยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะเข้าข่ายความผิดหมิ่นเจ้าพนักงานหรือไม่