MGR Online - ตร. รวบเกย์ขอนแก่น ฉกบัตรเครดิตผู้เสียหายที่ลืมไว้คาตู้เอทีเอ็ม รูดซื้อโทรศัพท์และสินค้า รวม 16 รายการ รับสารภาพนำมือถือขายที่ห้างมาบุญครอง เลี้ยงคู่ขา เสียหาย 9 หมื่นบาท พบประวัติโชกโชน มีหมายจับศาล จ.พัทยา ในคดีลักษณะเดียวกัน
วันนี้ (19 มิ.ย.) เมื่อเวลา 13.00 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พ.ต.อ.นิติวัฒน์ แสนสิ่ง ผกก.สน.พญาไท พ.ต.ท.ปกรณ์ ภาวิไล รอง ผกก.สส.สน.พญาไท พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ จันจะนะ สว.สส.สน.พญาไท พ.ต.ต.คริษฐ์ ปริยะเกตุ สว.สส.สน.พญาไท และตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท ร่วมกันแถลงผลการจับกุมตัว นายสิทธิชัย วงศ์เครือศร อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 179 ม.10 ต.จระเข้ อ.หนองเรือ จ.ขอนแก่น ผู้ต้องหา (ตามหมายจับของศาลอาญาที่ 1192/2559 ลงวันที่ 17 มิถุนายน 2559) พร้อมด้วยของกลาง บัตรเครดิต ธนาคารกสิกรไทย 1 ใบ และโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ ซัมซุง กาแล็กซี เอ 7 โดยสามารถจับกุมได้ที่บริเวณหน้าร้านขายโทรศัพท์มือถือ 369 โมบาย ชั้น 4 ห้างมาบุญครอง แขวงและเขตปทุมวัน กทม. เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน เวลาประมาณ 15.00 น.
การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องมาจากก่อนหน้านี้มีผู้เสียหายได้รับใบแจ้งหนี้จากธนาคารกสิกรไทย ว่า ได้มีการใช้จ่ายบัตรเครดิต จำนวน 14 ครั้ง ยอดรวมเป็นเงิน 85,640 บาท ซึ่งผู้เสียหายไม่เคยได้มีการใช้บัตรตามรายการดังกล่าวแต่อย่างใด ต่อมาผู้เสียหายได้ตรวจสอบกับธนาคาร ปรากฏว่า ยังมียอดการใช้จ่ายเพิ่มอีก 2 ครั้ง รวมเป็นทั้งหมด 16 ครั้ง รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 90,461 บาท ทำให้เชื่อว่า น่าจะมีคนร้ายนำบัตรเครดิตของผู้เสียหาย ไปทำการรูดซื้อสินค้าในหลายท้องที่ต่างกัน
จากนั้นทาง พ.ต.ต.เกียรติศักดิ์ จันจะนะ สว.สส.สน.พญาไท นำกำลังตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท ลงพื้นที่หาข่าว จนทราบชื่อคนที่ลงมือก่อเหตุภายหลัง คือ นายสิทธิชัย จนพบเบาะแสว่า คนร้ายรายนี้ได้นำบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปทำการรูดซื้อสินค้าหลายแห่ง อาทิ ได้นำบัตรไปทำการชำระค่าสินค้าภายในห้างเทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส สาขาซอยรางน้า แขวงถนนพญาไท เขตราชเทวี กทม. ต่อมาทางผู้ต้องหาได้นำบัตรเครดิตของผู้เสียหายไปรูดซื้อชำระค่าสินค้าอีก 15 รายการ รวมทั้งหมดเป็น 16 รายการ ส่งผลให้มีความเสียหายเป็นเงิน 90,461 บาท ในหลายท้องที่ติดต่อกัน ต่อมาทางผู้ต้องหาได้นำบัตรเครดิตผู้เสียหายไปชำระค่าโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ ซัมซุง กาแล็กซี่ เอ 7 ที่ห้างฟอร์จูน โดยทางตำรวจจึงทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิด พบผู้ต้องหากำลังใช้บัตรเครดิตซื้อโทรศัพท์มือถือดังกล่าว
ภายหลังจากนั้น ผู้ต้องหาได้นำโทรศัพท์มือถือดังกล่าวมาขาย โดยมี นายสุรจิต ศรีพันธ์ มารับซื้อโทรศัพท์มือถือดังกล่าวไปใช้ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่จึงได้เชิญตัว นายสุรจิต มาสอบถามว่า ทราบว่าพยานได้ซื้อโทรศัพท์มาจากร้านขายโทรศัพท์ 369 โมบาย ชั้น 4 ห้างมาบุญครอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงสอบถามผู้ดูแลร้าน ทราบว่า ผู้ต้องหาเป็นคนนำโทรศัพท์มือถือมาขายให้กับร้านอยู่เป็นประจำ เมื่อตรวจสอบประวัติแล้ว พบว่า ผู้ต้องหาเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลอาญาและศาลจังหวัดพัทยาด้วย กระทั่งทางร้านขายโทรศัพท์ได้ประสานมายังตำรวจ ฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท ว่า ผู้ต้องหานั้นได้นำโทรศัพท์มาขายให้กับทางร้าน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้เดินทางไปจับกุมตัวผู้ต้องหาตามหมายจับ พร้อมด้วยของกลาง ก่อนขยายผลทำการตรวจค้นรถยนต์ของผู้ต้องหา พบเสื้อผ้าที่ใส่ในวันที่ก่อเหตุ จึงตรวจยึดทั้งหมด เพื่อตรวจสอบและควบคุมตัวสอบสวน ที่ สน.พญาไท
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การอ้างว่า ตนมีอาชีพขายน้ำดื่มอยู่ที่จังหวัดนครราชสีมา แล้วมีรสนิยมชื่นชอบรักร่วมเพศ มีความสัมพันธ์กับแฟนหนุ่มที่พักอยู่กรุงเทพฯ ต้องเทียวไปเทียวมา ระยะหลังรายได้หมุนเวียนไม่พอใช้จ่าย เพราะต้องเลี้ยงดูแฟนหนุ่มด้วย กระทั่งตนเก็บบัตรเครดิตของผู้เสียหายลืมไว้ที่ตู้ถอนเงิน ย่านดอนเมือง จากนั้นนำมารูดซื้อโทรศัพท์มือถือของกลางดังกล่าว ก่อนจะนามาขายที่ร้านแห่งนี้ จนมาถูกจับกุมดังกล่าว สำหรับบัตรเครดิตของผู้เสียหายนั้น เจ้าตัวรับว่าได้ทิ้งไว้ที่ จ.สระบุรี เนื่องจากวงเงินบัตรเต็ม รับเพิ่มว่า ก่อเหตุมาทั้งหมด 4 ครั้ง เพียงคนเดียว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ ต้องทำการสอบสวนขยายผลอย่างละเอียดอีกครั้ง ทางตำรวจเชื่อว่า ผู้ต้องหาเคยก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้วหลายครั้ง เนื่องจากพบประวัติเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดพัทยา ที่ บ.154/2559 ลง วันที่ 31 มี.ค. 2559 ซึ่งกระทำผิดฐาน “ลักทรัพย์ ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์เบิกถอนเงินสด” แล้วไม่มาศาลตามกำหนดศาลนัด ทั้งนี้ หากมีผู้เสียหายรายใดถูกคนร้ายรายนี้ก่อเหตุลักษณะดังกล่าว สามารถแจ้งอายัดตัวได้ที่ สน.พญาไท เบื้องต้นแจ้งข้อหา “ลักทรัพย์, ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นที่ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อประโยชน์ในการชาระค่า สินค้า ค่าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชาระด้วยเงินสด หรือใช้เบิกถอนเงินสด โดยมิชอบ ในประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน, เอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นในประการที่น่าจะเกิดความ เสียหายแก่ผู้อื่น หรือประชาชน” ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป