xs
xsm
sm
md
lg

ซ่อง 24 ชั่วโมง “ตู้เอทีเอ็ม”หมอนวดรุ่นคุณป้า ของจริงภาพชีวิต - อายุ 70 ก็ยังขาย !!??

เผยแพร่:   โดย: *


 
ที่สุดของชีวิตในด้านมืด “ซ่อง 24 ชั่วโมง” ศูนย์รวมหมออนวดตกกระป๋องทั่วไปไทยมารวมตัวกัน ณ โรงแรมจิ้งหรีดเลียบคลองมหานาค ใจกลางกรุงเทพฯ “ชีวิตต้องสู้ของจริง”ลดค่าตัว 300 ก็ขาย....เผยโรงเตี๋ยมดังในอดีต สวนมะลิ - แม้นศรี -รื่นรมย์ แหล่งหาค่ากับข้าวปิดตัวตาย เหลือเพียงที่เดียวในประเทศไทยเชื่อหลังเป็นข่าวอีกไม่นานคงถูกปิด

ส่วย “นาตารี”กลายเป็นปรากฏการณ์ “ไหปลาร้า”แตกกระเซ็นสาดใส่ตำรวจไทยหลายหน่วยทั้งนครบาล ท่องเที่ยว สอบสวนกลาง สันติบาล สำนักตรวจคนเข้าเมืองเรียกว่า “เหม็น”กันไปถ้วนหน้า หลังจากเช็ดปากกันเรียบร้อยพื้นที่ไหนมีสถานบริการ “อบ-นาบ”ก็เตลิดออกตรวจแจ้งนักข่าวสายอาชญากรรมมาถ่ายรูปช่วยตีฆ้องร้องป่าวว่าที่นี่ไม่มีอายุต่ำกว่า 18 ที่นี่ไม่มีต่างด้าวแต่ลืมไปว่า “หัวใจ”ของเรื่องนี้คือการค้าประเวณี

นี่ถ้า สน.วังทองหลาง สุทธิสาร บางยี่ขัน มักกะเสียว...เอ๊ยยย!!??..มักกะสัน ออกตรวจตราเอาจริงเอาจังมีหรือจะไม่พบความผิดในซ่องบรรดาศักดิ์ทั้งหลาย

ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ธุรกิจทางเพศกำลังระส่ำระสายแต่ถ้าไม่ “โจ๋งครึ่ม”เกินเลยเชื่อว่าผู้มีอำนาจคงยอม “หลิ่วตา”ไม่หักหาญห้ามไปหมดแม้การอาชีพขายนาแปลงน้อยอันเป็นสมบัติติดตัวมาเพียงชิ้นเดียว

จริงอยู่แม้จะผิดกฎหมาย แม้จะเข้าข่ายค้ามนุษย์และยังมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยแต่หากจะใช้ไม้แข็ง ใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวถึงขั้นออกกวาดล้างกันทั่วประเทศ กระแสบ้าบอคอแตกอาจจะตีกลับแทนที่รัฐฯจะได้คะแนนนิยมอาจเป็นเรื่องรังแกคนยากคนจนไปซะฉิบ ผู้รู้ในการบริหารประเทศจึงพูดนักพูดหนาให้ “นิติศาสตร์ กับรัฐศาสตร์”มันเดินคู่กันไป

เว้นแต่ว่ายุคหนึ่งสมัยหนึ่งถ้ากฎหมายมันไม่ศักดิ์สิทธิ์ มีผู้คนละเมิดจนเป็นภัยต่อบ้านเมือง การรักษาความเข้มแข็งของกฎ-กติกาก็มีความจำเป็น

อย่างไรก็ตามทั้ง “กฎหมาย กับการปกครอง”ยังจำเป็นต้องเดินคู่กันไปเสมอ ผู้บริหารต้องมีความชาญฉลาด รอบรู้ปัญหาสังคมอย่างแท้จริงเพราะหากเข้มมากไปอาจจะกระทบต่อปากท้อง หรือลุกลามไปถึงระบบเศรษฐกิจ ที่สุดเมื่อมีผู้คนเดือดร้อนจากการใช้กฎหมายบังคับมากๆประชาชนอาจดื้อแพ่ง ไม่ยอมให้ความร่วมมือ

วันนี้ซ่อง “นาตารี”เงียบเหงา ทีมข่าว MGR Online เขาตามติดแจ้งมาว่าปิดไฟมืดไม่มีแม้กระทั่งคนเฝ้าหรือคนดูแล ส่วนอาบ-นาบ “ซ่องบรรดาศักดิ์”บนถนนสายเดียวกันต่างตั้งการ์ดรัดกุม พนักงานสาวคนไหนมีปัญหาเรื่องบัตรประชาชน หรือไม่มีความชัดเจนเรื่องสัญชาติจะถูกเชิญออกจากงานชั่วคราว ดูไปคล้าย ๆ จะเป็นว่าสงวนอาชีพนี้ไว้เฉพาะคนไทยที่ตัดสินใจโจนเข้าสู่กะทะโลกีย์

ขายตัว -ขายร่าง-ขายศักดิ์ศรี ความเป็นคน....มุมหนึ่งของความคิดหากใครจะมองแบบนี้คงตำหนิไม่ได้ แต่โลกมีสองด้านเสมอ...บางคนอาจจะเฉยๆ บางคนกลับเห็นอกเห็นใจโดยยกเรื่องความยากจน หรือกระทั่งความอยู่รอด เป็นภาพชิวิตจริงของสังคมไทยที่ทุกชีวิตต้องดิ้นรนอยากโผล่ขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวัน อยากมีบ้านมีรถ อยากมีความทัดเทียบ อยากให้พ่อ-แม่ ให้ลูกกินอิ่มนอนหลับ

ยุคเฟื่องฟูของ “อาบ-นาบ”ว่ากันว่าหมอนวดระดับดาราเบอร์ตองต้องขับรถเบนซ์ รถบีเอ็มฯ และความจริงก็เป็นเช่นนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่จะพบว่ามีข่าวดาราสาวสวยที่ตกกระป๋องยังต้องแอบไปเป็น “คุณหมอ(นวด)”กลายเป็นข่าวโด่งดังมีเสือป่าแมวเซา หรือบรรดาชายขี้เมื่อย “จองรอบ”ทำงานติดต่อยาวถึง 2-3 เดือน

อาจจะเป็นเพราะชีวิตของน้องหนูที่วนเวียนอยู่กับชายแปลกหน้านับร้อยนับพัน เงินทองที่หามาง่ายๆถ้าใช้ชีวิตดี ไม่ประมาทหมอนวดบางคนปลุกบ้าน สร้างอาชีพให้กับญาติโกโหติกาจนมั่นคง แต่บางคนไปไม่รอด “ขาย”ราคาแพงแล้วลดเกรดมาราคาถูกก็ขายไม่ออก ออกจากร้านนี้ไปโผล่ร้านนั้น หรือเป็น “ใหม่ที่นี่เก่าที่อื่น”ได้สักระยะก็ถูกนักเที่ยวจับไต๋ได้ ดิ้นต่อไปจึงต้องหาหนทางไป “ขาย”ต่างประเทศ ทั้งบ้านเมืองฝรั่ง -แขก -สิงคโปร์ หรือญี่ปุ่นกลายเป็นสนามรบระดับอินเตอร์ สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้างแต่ก็เป็นทางเลือกด้วยเหตุผลเดิมๆคือ “ความอยู่รอด”

ส่วนคนที่หมดปัญญาหรือไม่กล้าพอก็ต้องอดทนหาทาง “ขาย”ด้วยการเดินสายหาขุมทรัพย์กันไปเรื่อยๆ พวก”เดินสาย”มีไว้สำหรับคุณหมอ(นวด)รอบจัดที่ยังสาว รูปร่างหน้าตาพอไปไหว แต่ถ้าเริ่มถดถอยแค่อาบน้ำ ให้บริการอย่างเดียวยังไม่พอต้องเรียนรู้วิธีนวด...ว่ากันทุกรูปแบบเพื่อให้นักเที่ยวติดอกติดใจ วันชื่น-คืนสุขผ่านไป....จากที่เคยเป็นดารามีคิวจองยาวเป็นหางว่าวกลายเป็นนั่งตบเบอร์ทั้งวันเพื่อเอาเคล็ดเรียกแขก...ตบแล้วตบอีกเชียร์แขกก็ยังไม่เรียก 1 วันผ่านไปเสียค่าแท็กซี่ ค่าแต่งผมแต่ต้องกิน “ไข่ต้ม” 2 วัน 3 วันบางคนเป็นสัปดาห์กลายเป็นเจ้าแม่ค้างตู้
ทางออกของเธอจะเป็นอย่างไร...เลิกอาชีพ-หันหลังให้วงการ...คำตอบคืออาจใช่สำหรับบางคน แต่หลายคนยังเดินหน้าเพราะชีวิต “ติดหล่ม”ไม่รู้แล้วกับการไปทำอาชีพอื่น....

จากดาราหน้าตู้ต้องลดระดับเรื่อยๆจนสู่สามัญ....ถนนทุกสายของคุณหมอ(นวด)ตกกระป๋องจึงมุ่งสู่ ณ โรงแรมจิ้งหรีดแห่งหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ เลียบคลองมหานาค อยู่ไม่ห่างจากอาคารโซโห และโรงพยาบาลขนาดใหญ่....ชื่อโรงแรมที่ระบุว่า “ใหม่”ช่างต่างกับความเป็นจริงราวฟ้ากับเหว เพราะอายุอานามน่าจะกว่า 60 ปีไปแล้วอยู่ในสภาพเก่าคร่ำคร่า ลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้นมีห้องพักบุด้วยไม้อัดบ้าง ปูนกะเทาะบ้างว่ากันตามอัตภาพแต่ไม่น่าเชื่อว่าบรรยากาศในโรงแรมจิ้งหรีด แห่งนี้จะคึกคัก มีผู้คนเดินขวักไขว่

ก้าวแรกที่เดินเข้าไปจะเห็นกลุ่มนักเที่ยวมีทั้งหนุ่มใหญ่ ยันอาแป๊ะ ยืนพ่นบุหรี่กันโขมง อาจเพราะเป็นคนแปลกหน้าโกคนดูแลตะโกนให้ลูกค้าหน้าใหม่เดินไปดูเจ้าสาว(ชั่วคราว)บริเวณโรงจอดรถ.....ห่างไปไม่เกิน 20 เมตรต้องอุทานในใจอะไรจะมากหน้าหลายตาขนาดนี้ ภายในโรงจอดรถซึ่งยังเห็นจอดอยู่ 2-3 คันมีม้านั่งแถวยาวติดผนัง กับตั้งตรงกลาง หญิงสาวน้อย สาวใหญ่จนถึงรุ่นคุณป้าหรืออาจเป็นยายนั่งคุยกันบ้าง เล่นโทรศัพท์บ้างโดยมีลูกค้าทั้งขาสั้น-ขายาวหลายสิบคน บ้างยืนเล็ง บ้างเดินวนรอบๆ บ้างนั่งจับกลุ่มจิบน้ำชาคุยกันอย่างสบายอกสบายใจ

เมื่อพบคนถูกใจไอ้โกคนดูแลจะตะโกนเรียกแล้วจ่ายกันสดๆผ่านช่องเก็บเงินคล้ายแคชเชียร์ของอาบ อบ นวด ซึ่งอยู่ติดกันพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดตัวเก่าๆให้สองผืน สนนราคา 600 บาทขาดตัวแบ่งเป็นค่าเช่าห้อง 300 บาท ถึงตัวเด็ก(หรือแก่) 300 บาท ไม่มีทางเดินปูพรหมสุดหรู ไม่มีลิฟต์เฉกเช่นซ่องอาบ อบ นวด บรรดาศักดิ์ เมื่อจ่ายแล้วก็ต้องเดินผ่านลูกค้ากลัดมันที่สวนกันไปมา เรียกว่าไม่ต้องวางฟอร์ม ไม่ต้องมีเขินอายเพราะที่นี่เขาว่ากันแบบนี้

เดินขึ้นบันไดหินขัดถึงชั้น 2 ห้องนอนเป็นแถวยาวแสงสว่างเข้าไม่ถึง กลิ่นสาปเหม็นอับโชยปะทะจมูก จุดนี้มีคนคอถือกุญแจห้องเพื่อเปิดบริการลูกค้า หากไม่เตรียมถุงยางอนามัยมาด้วยก็จะมีขายราคา 1 ชิ้น 20 บาท มาตรฐานไซด์เดียวไม่รับประกันความเหนียว ภายในสมรภูมิรบ หรือห้องพักรองรับขาหื่น ก้าวแรกเจอแมลงสาปเจ้าถิ่นออกมาทัก เสียงพัดลมเพดานดังก๊อกแก๊กๆแต่ยังดีที่มีแอร์คอนดิชั่นเปิดให้ความเย็นด้วย ห้องน้ำในตัวไม่ต้องพูดถึงโถชักโครกยังเป็นแบบนั่งยอง มีสายยางต่อจากก๊อกให้ใช้สำหรับชำระล้างคราบไคล

เจ้แหมม่ อายุอานามน่าจะใกล้ๆ 60 แต่เจ้าตัวบอกว่าฉันแค่ 41 เสนอบริการต่างๆมากมายแต่ถูกสนองตอบด้วยการชวนพูดคุย เจ้บอกว่าโรงแรมที่เจ้ทำมาหากินอยู่นี้น่าจะมีอายุไม่ต่ำกว่า 60 ปี ส่วนตัวเธอวนเวียนเข้าๆออกๆกว่า 10 ปีแล้ว

วันปกติจะมีผู้หญิงเข้ามาหาเงินกันไม่ต่ำกว่า 4-50 คนแต่ถ้าต้นเดือนอาจจะถึง 100 ที่นั่งไม่พอบางครั้งล้นออกซอยต้องนั่งกางร่มกัน....”ส่วนใหญ่เป็นหมอนวดที่มีปัญหาไม่มีแขกเรียก ทั้งฝั่งกรุงเทพฯ-ฝั่งธนฯก็จะมากันที่นี่ จากขายกันเป็นพันมาขาย 600 แบ่งโก 300 เหลือถึงตัว 300 แต่ถ้ามีแขกประจำ หรือหน้าใหม่วันๆก็จะได้หลายรอบ บางคนเป็นสิบก็มีแขกนั่งรอกันตั้งแต่เช้าถึงเย็นก็มี” เจ้แหม่มนวดไปคุยไป

เมื่อถามถึงผู้อาวุโสหลายคนที่ยังอุตส่าห์หอบสังขารมาสู้กับเด็ก เจ้แหม่มบอกว่าก็ได้งานกันทุกคน งานที่นี่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากแค่แต่งตัวนั่งรถเมล์มา ได้รอบสองรอบเป็นค่ากับข้าวก็กลับบ้านกันแล้ว... “ถ้ามีอายุมากสุดก็ต้องป้าฟอง..แกทำถึงอายุ 70 ปี ทำตั้งแต่ยังสาวๆตอนนี้เลิกไป 5 ปีแล้วว่างๆก็ยังซื้อขนมแวะเวียนมาเยี่ยมน้องๆ ส่วนที่โด่งดังนกเมืองทอง ออกงานไปแล้วมีคนเลี้ยง หรือเจ้เอื้อง ก็ยังอยู่”

การสนทนาสลับกับเสียงหมุนของพัดลมเพดาน รวมทั้งสมาชิกแมลงสาบเริ่มแสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่มากขึ้น ถึงขนาดบินไปเกาะข้างฝา...เจ้แหม่มตอบคำถามทุกข้อที่อยากรู้ อาทิโรงแรมในตำนานเช่นสวนมะลิ แม้นศรี หรือรื่นรมย์ ย่านสำราญราษฎร์ได้ปิดตัวเองไปแล้วเด็กๆจึงมารวมกันที่นี่ สาเหตุน่าจะมาจากเคยถูกจับครั้งใหญ่ราว 10 ปีก่อน

“ฉันได้ยินโกเขาคุยกันว่าต้องใช้เงินดูแลตำรวจเยอะ โรงแรมอื่นทำไม่ได้ก็เพราะสู้ไม่ไหวแต่โรงแรมนี้เขาบริหารดี เปิด 24 ชั่วโมงแบบเซเว่นอีเลฟเว่น ใครจะมาเที่ยวตอนไหนก็ได้แต่ถ้ามารอบดึกก็จะเจอแขกขี้เมา พวกผู้หญิงก็จะเป็นกลุ่มคนชอบกินเหล้าเสียงดังหนวกหู คนที่มาเที่ยวตอนกลางวันหรือบ่ายๆดีกว่า มาแล้วก็รีบๆทำรีบๆกลับไม่วุ่นวายเรื่องมากอย่างพวกขี้เมา”

ขับรถกลับทีทำงานด้วยความรู้สึกหลากหลาย มีทั้งเห็นใจ-เข้าใจและแทบไม่เชื่อว่าใต้ถุนกรุงเทพมหานคร เมื่อฟ้าอมรยังมีเรื่องแบบนี้...ทุกชีวิตที่ดำเนินไปบางคนประสบความสำเร็จรุ่งโรจน์เป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เรียกว่ากินกันกี่ชาติก็ไม่มีวันหมด...ขณะที่บางชีวิตต้องยอมขายศักดิ์ศรีความเป็นคนแลกกับเงินเล็กๆน้อยๆเพื่อความอยู่รอด

ไม่ว่าจะเป็นยุคประชาธิปไตยเบ่งบาน หรือยุคคืนความสุข...เจ้แหม่ม ก็ยังคงดิ้นรนหาเลี้ยงชีพด้วยวิถีของตัวโดยไม่มีใครหน้าไหนมาหยิบยื่นให้
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น