MGR Online - ตำรวจรวบแก๊งโจ๋อดีตนักศึกษาย่านสี่พระยา ตระเวนก่อเหตุชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยใช้มีดดาบข่มขู่ผู้เสียหาย ได้ของกลางจำนวนมาก สารภาพเคยก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง เจ้าหน้าที่เร่งขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือ
วันนี้ (20 ธ.ค.) เมื่อเวลา 12.30 น. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รรท.ผบช.น. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อุทาสิน ฤทธิ์เรืองเดช ผบก.น.7 พ.ต.อ.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผกก.สน.ตลิ่งชัน พ.ต.อ.ภิญโญ ป้อมสถิตย์ ผกก.สส.บก.น.7 พ.ต.ท.สนชัย พูนผล สว.สส.สน.บางบอน พ.ต.ท.สนพัฒน์ อุ่นคำ สว.สส.สน.ท่าข้าม พร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.7 สน.ตลิ่งชัน สน.บางบอน และ สน.ท่าข้าม ร่วมกันแถลงข่าวจับกุมตัว นายชรินทร์ โคตะการ หรือ บัง อายุ 18 ปี นายสุรสิทธิ์ อาจผักบัง หรือ เบนซ์ อายุ 23 ปี นายสรวิชญ์ วาละมุน หรือ โส อายุ 19 ปี และนายทักษ์ดนัย รักษาโค หรือ หมู อายุ 20 ปี พร้อมของกลาง รถจักรยานยนต์ยี่ห้อต่าง ๆ จำนวน 8 คัน มีดพร้า มีดดาบ จำนวน 4 เล่ม หมวกกันน็อก 3 ใบ โดยกล่าวหาว่าร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธ โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปให้พ้นการจับกุม
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 7 พ.ย. และ วันที่ 9 ธ.ค. ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายก่อเหตุใช้อาวุธมีดดาบ มีดพร้า มีดหัวตัด ออกตระเวนชิงทรัพย์และปล้นทรัพย์ ที่บริเวณริมถนนพุทธมณฑลสาย 1 และปากซอยสวนผัก 42/1 แขวงฉิมพลี เขตตลิ่งชัน ตามลำดับ ซึ่งเป็นท้องที่ของ สน.ตลิ่งชัน ทรัพย์สินที่ได้เป็นรถจักรยานยนต์ เงินสด โทรศัพท์มือถือ หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน กก.สส.บก.น.7 และตลิ่งชัน ร่วมกันสืบสวนจนกระทั่งทราบว่านายสุรสิทธิ์ นายสรวิชญ์ และ นายชรินทร์ เป็น 3 ในกลุ่มผู้ต้องหาที่ร่วมกันก่อเหตุ จึงรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับ ก่อนติดตามจับกุมตัวทั้ง 3 คนได้ในเวลาต่อมา โดยมีเพื่อนร่วมแก๊งที่จับกุมได้ไปก่อนหน้านี้แล้ว 3 รายด้วยเช่นกัน
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีก จากการสืบสวนขยายผลยังพบว่าผู้ต้องหากลุ่มนี้ยังเคยร่วมกับนายทักษ์ดนัย ก่อเหตุวิ่งราวกระเป๋าสะพายของ นางจงกุล พันธ์ยาง อายุ 48 ปี ที่บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 47 แยก 53 ปากซอยดีเค 16 แขวงและเขตบางบอน ได้ทรัพย์สินเป็นเงินสด สร้อยและแหวนเพชร 2 วง โทรศัพท์มือถือไอโฟน 2 เครื่อง รวมมูลค่าประมาณ 7.7 แสนบาท แต่กลุ่มผู้ต้องหาเอาแต่เงินสดจำนวน 20,000 บาท แต่โยนกระเป๋าที่ภายในมีเครื่องเพชรกับโทรศัพท์ทิ้งไป ซึ่งต่อมาเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.บางบอน สามารถเข้าจับกุมตัวนายทักษ์ดนัย เอาไว้ได้ ก่อนส่งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.ท่าข้าม พาตัวไปค้นหาทรัพย์สินของผู้เสียหายที่โยนทิ้งจนได้สร้อยกับแหวนเพชรและกระเป๋าคืนมา ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดมาสอบปากคำ
จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้งหมดให้การรับสารภาพ โดย นายชรินทร์ ให้การว่า ตนทำอาชีพขับรถรับจ้างส่งของให้โรงงานย่านบางบอน 3 ส่วน เพื่อนร่วมกลุ่มบางคนไม่ได้ทำงาน เวลาเงินไม่พอใช้ก็จะรวมตัวกันออกขี่รถจยย.เพื่อตระเวนหาเหยื่อ เมื่อเจอเป้าหมายก็จะขี่เข้าไปประกบ ก่อนจะชักมีดพร้ากับดาบขึ้นมาขู่เหยื่อเพื่อให้ส่งทรัพย์สินให้ โดยไม่เคยทำร้ายเหยื่อแต่อย่างใด เมื่อได้เงินมาก็จะแบ่งกันเอาไปใช้จ่าย กินเที่ยว ส่วนทรัพย์สินอื่น ๆ แต่หากได้รถจยย.มาด้วยก็จะเก็บเอาไว้ใช้เอง ไม่เคยเอาไปขายแต่อย่างใด
ด้าน นางจงกุล พันธุ์ยาง อายุ 48 ปี เจ้าของกิจการร้านสเตนเลส หนึ่งในผู้เสียหาย กล่าวว่า วันเกิดเหตุวันที่ 18 ต.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 05.00 น. ตนกำลังจะออกจากบ้านเพื่อไปเรียกแท็กซี่ไปสนามบินดอนเมือง เพื่อเปิดร้านอีกสาขาหนึ่งที่ต่างจังหวัด แต่ขณะที่กำลังเดินอยู่ก็ถูกคนร้ายตรงเข้ามาใช้อาวุธมีดจี้ที่ด้านหลังเอาไว้ จึงยอมให้กระเป๋าสะพายซึ่งภายในมีเงินสด สร้อย - แหวนเพชร และโทรศัพท์มือถือไป แต่มาทราบภายหลังว่า คนร้ายเอาแต่เงินสด แต่โยนกระเป๋าที่มีเครื่องเพชรอยู่ทิ้งน้ำ ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะช่วยกันงมหาจนเจอ ทำให้ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นอย่างมากที่ช่วยกันจับกุมและตามทรัพย์สินตนคืนมาได้
พล.ต.ท.ศานิตย์ กล่าวอีกว่า สำหรับผู้ต้องหากลุ่มนี้ส่วนใหญ่เคยเป็นนักศึกษาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านสี่พระยา จะรวมตัวกันประมาณ 20 คน โดยใช้ชื่อแก๊งว่า “แก๊งสี่พระยาราตรี คนดีไม่มีที่ยืน” เพื่อเสพกัญชาก่อนที่จะแยกออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ ออกปล้น - ชิงทรัพย์ในช่วงกลางดึกตั้งแต่เวลา 24.00 - 03.00 น. ออกตระเวนปล้น - ชิงทรัพย์ ในช่วงกลางดึกในพื้นที่ สน.บางบอน สน.หนองแขม สน.ท่าข้าม และ จ.สมุทรสาคร โดยจะไม่ก่อเหตุในท้องที่ สน.บางขุนเทียน เลย เนื่องจากจะใช้เป็นที่กบดาน และจะใช้อาวุธประเภทมีด ทั้งมีดพร้า มีดหัวตัด เป็นอาวุธในการก่อเหตุ เนื่องจากหากพกอาวุธปืนเมื่อเจอกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จะโดนจับกุม แต่หากพกอาวุธมีดก็จะโดนแค่ปรับเงินเท่านั้น ซึ่งหลังจากนี้ เจ้าหน้าที่จะขยายผลจับกุมผู้ต้องหาที่เหลือต่อไป