MGR Online - โชว์ผลงาน รรท.ผบก.ปคม.แถลงผลจับกุมผู้ต้องหาหลอกแรงงานไทยไปทำงานบนเรือประมงที่อินโดนีเซีย ก่อนถูกกักขังตัว พอครบกำหนดมาเมืองไทยกลับไม่ได้รับค่าแรงตามที่กำหนด อีกคดีเจ้าหน้าที่ล่อซื้อบริการหญิงอายุไม่เกิน 18 ปีมาค้าประเวณี ร้านแจ๋วแหว๋วคาราโอเกะที่พิจิตร จับกุมเจ้าของร้านดำเนินคดี
วันนี้ (11 พ.ย.) เมื่อเวลา 11.00 น. กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. รรท.ผบก.ปคม. พร้อมด้วย พ.ต.อ.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผบก.ปคม. พ.ต.อ.มานะ กลีบสัตบุศย์ รอง ผบก.ปคม. (ปป.), พ.ต.อ.ธรากร เลิศพรเจริญ ผกก.1 บก.ปคม. และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาในคดีค้ามนุษย์ จำนวน 2 คดี
คดีแรก เจ้าหน้าที่จับกุมนางแจ๋ว (สงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี และ น.ส.แพรว (นามสมมติ) อายุ 16 ปี ทั้งสองอยู่บ้านเลขที่ 225 ม.9 ต.เนินบ่อ อ.สามง่าม จ.พิจิตร ในข้อหาค้ามนุษย์โดยแสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบจากการค้าประเวณี ซึ่งกระทำแก่บุคคลอายุไม่เกิน 15 ปี, เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือชักพาไปซึ่งบุคคลใดเพื่อให้บุคคลนั้นกระทำการค้าประเวณีแม้บุคคลนั้นจะยินยอมก็ตาม โดยกระทำต่อบุคคลอายุต่ำกว่า 15 ปีแต่ยังไม่เกิน 18 ปี, เพื่อสนองความใคร่ของผู้อื่น เป็นธุระจัดหา ล่อไป หรือพาไปเพื่ออนาจารซึ่งหญิงอายุเกิน 15 ปี แต่ยังไม่เกิน 18 ปี แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม เนื่องจากมีสื่อมวลชนเผยแพร่ข้อมูลว่ามีการนำหญิงมาค้าประเวณีที่ร้านแจ๋วแหว๋วคาราโอเกะ เลขที่ 225 ม.9 ต.เนินปอ อ.สามง่าม จ.พิจิตร ตั้งอยู่ริมถนนสายนครสวรรค์-พิษณุโลก จึงมีการลงหาข่าวจนทราบว่าร้านดังกล่าวเปิดในลักษณะแอบแฝงนำเด็กมาค้าประเวณี ต่อมาเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 11 พฤศจิกายน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้ทำการล่อซื้อประเวณีจากร้านคาราโอเกะดังกล่าว ซึ่งทางเจ้าของร้านก็ได้เสนอขายบริการทางเทศเด็กหญิงอายุ 14 ปี เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเพื่อจับกุมทันที
คดีที่ 2 เจ้าหน้าที่สามารถจับกุม น.ส.พัชรินทร์ หรือกวาง เดชสโร อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 2214/2558 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2558 และ นายสมเกียรติ รัตนพร อายุ 39 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2215/2558 ลงวันที่ 16 ตุลาคม 2558 ในข้อหาสมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยการแสวงหาผลประโยชน์ที่มิชอบโดยการบังคับใช้แรงงานในเรือประมง และได้ลงมือกระทำความผิดตามที่ตกลงกันไว้โดยร่วมกันตั้งแต่สามคนขึ้นไปกระทำความผิดฐานค้ามนุษย์โดยแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากการบังคับใช้แรงงานในเรือประมง, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้นหรือจำยอมสิ่งนั้น, ร่วมกับปลอมแปลงเอกสารทางราชการ (หนังสือคนประจำเรือหรือซีแมนบุ๊ค) โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน หรือเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้มีความเกี่ยวของกับคดีที่มีการหลอกเหยื่อให้ทำงานบนเรือประมงที่เกาะอัมบน ประเทศอินโดนีเซีย
สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ได้ส่งคนไทยที่เป็นเหยื่อการค้ามนุษย์กลับมายังประเทศไทย จากการสอบสวนพบว่ามีคนไทยจำนวน 10 ราย ถูกนายสมเกียรติ หรือไต๋เซียง ไต้ก๋งเรือ ส.ทองมา 1 หลอกลวงให้ไปทำงานในเรือประมงของบริษัท เคดี ส.ทองมา โดยหลอกลวงว่าเรือของผู้ต้องหาได้รับอนุญาตให้ทำประมงในน่านน้ำประเทศอินโดนีเซีย แต่เมื่อผู้เสียหายทำงานครบกำหนดตามสัญญา และขอกลับแต่ไม่สามารถเดินทางกลับประเทศไทยได้ เนื่องจากถูกทหารเรืออินโดนีเซียจับกุมและกักเรือไว้ นอกจากนี้ ขณะที่ทำประมงอยู่กลางทะเลนั้นลูกเรือจะได้รับอาหารจากเรือทัวร์ซึ่งจะแวะเวียนไปเติมน้ำมันให้กับเรือ ส.ทองมา 1 โดยการจ่ายเสบียงอาหารให้แก่ลูกเรือก็จะมีเงื่อนไขว่าต้องจับสัตว์น้ำให้ได้ 250 ถัง คิดเป็นเงินจำนวน 600,000-700,000 บาท ในทุกๆ 15 วัน หากไม่สามารถทำตามที่เกณฑ์ที่กำหนดไว้ได้จะถูกตัดเสบียงอาหารและน้ำ เมื่อครบกำหนดไต้ก๋งนำเรือกลับเข้าฝั่งประเทศไทย ลูกเรือกลับไม่ได้รับค่าแรงตามที่กำหนดไว้
นายสมเกียรติกล่าวว่า ตนทำงานมาได้ 1 ปี และไม่ได้หลอกลูกเรือให้ไปทำงานในเรือประมง ขณะที่ทำงานก็ไม่ได้มีการทะเลาะหรือบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด ตนทำงานมาประมาณ 18 เดือน เงินค่าแรงทางบริษัทก็ยังไม่ได้จ่ายเลย
ด้าน น.ส.พรัชรินทร์กล่าวว่า ตนได้ร่วมงานกับบริษัท เคดี ส.ทองมา ช่วงต้นปี 2557 เป็นเวลา 1 ปี แต่ได้ออกจากบริษัทดังกล่าวแล้ว ขณะทำงานนั้นต้องมีหน้าที่เป็นพนักงานท่าเรือ คอยเช็กรายการของที่ส่งออกและนำเข้าผ่านท่าเรือ ทั้งนี้ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงเอกสาร C Man book เรื่องจากเอกสารดังกล่าวนั้นถูกบรรจุในกระเป๋ามาจากทางบริษัทเรียบร้อยแล้ว
พ.ต.อ.กรไชยกล่าวว่า ขณะนี้ทางสถานทูตได้ช่วยเหลือลูกเรือที่ตกค้างอยู่ที่ประเทศอินโดนีเซียแล้วจำนวน 1442 ราย โดยในนี้เป็นเหยื่อค้ามนุษย์ 39 ราย ขณะนี้อยู่ในระหว่างการดำเนินคดี ซึ่งตอนนี้ทาง บก.ปคม.พยายามเร่งปราบปรามขบวนการค้ามนุษย์อย่างเข้มข้น เพื่อให้ผู้กระทำผิดลดเหลือน้อยที่สุดและดำเนินการตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนโยบายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ที่เร่งให้มีการปราบปรามอาชญากรรมสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการค้ามนุษย์ซึ่งรัฐบาลไทยให้ความสำคัญอย่างมากเพราะถือว่าเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง