ASTV ผู้จัดการ - ศาลฎีกานักการเมืองรับคำร้องให้ริบทรัพย์บ้านที่ดิน จ.อ่างทอง 16 ล้านที่สร้างปี 41-44 ของ “สมศักดิ์ ปริศนานัทกุล” อดีต รมว.ศึกษาธิการ พรรคชาติไทยพัฒนา ตกเป็นของแผ่นดิน หลัง ป.ป.ช.ชี้มูลร่ำรวยผิดปกติ ศาลนัดพิจารณา 20 ม.ค. 58
ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ วันนี้ (20 ต.ค.) ศาลนัดฟังคำสั่งที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องริบทรัพย์หมายเลขดำ อม.74/2558 ขอศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นผิดปกติของนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีต รมว.ศึกษาธิการ ปี 2542 และอดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคชาติไทยพัฒนา (ชทพ.) ผู้ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ จำนวน 16 ล้านบาท ตกเป็นของแผ่นดิน
กรณีสืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเสียงข้างมาก วันที่ 28 พ.ค. 2558 ชี้มูลความผิดการไต่สวนกรณีการร่ำรวยผิดปกติของนายสมศักดิ์ ที่จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ ที่ไม่แสดงบ้านพักอาศัยเลขที่ 5/5 ตำบลไผ่จำศีล อำเภอวิเศษชัยชาญ จังหวัดอ่างทอง ที่ได้มีการปลุกสร้างในปี 2541 ช่วงที่นายสมศักดิ์ เป็น รมช.ศึกษาธิการ โดยมีการก่อสร้างต่อเนื่องแล้วเสร็จปี 2544 ในช่วงที่นายสมศักดิ์เป็น รมว.ศึกษาธิการ โดยใช้เงินปลูกสร้างประมาณ 16 ล้านบาท ซึ่ง ป.ป.ช.เรียกสอบแล้ว นายสมศักดิ์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของเงินได้ชัดเจน จึงรวบรวมหลักฐานสรุปสำนวนคดีเสนอให้อัยการสูงสุด สมัยนายตระกูล วินิจนัยภาค ดำเนินตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ยื่นฟ้องคดีต่อศาลฎีกาฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 2558 ที่ผ่านมา
โดยองค์คณะผู้พิพากษา 9 คน พิจารณาคำร้องแล้วเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 มาตรา 9 (4) และคำร้องชอบตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2543 ข้อ 23 จึงมีคำสั่งให้รับคำร้องของอัยการสูงสุดไว้พิจารณาเพื่อมีคำพิพากษาต่อไป ซึ่งวันนี้มีผู้แทนอัยการสูงสุดมารับทราบคำสั่งแล้ว
ขณะที่ศาลนัดพร้อมคู่ความเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาคดี ในวันที่ 20 ม.ค. 2559 เวลา 09.30 น. โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาและเจ้าของทรัพย์สิน ยื่นคำให้การเพื่อคัดค้านภายใน 30 วัน
และวันนี้องค์คณะผู้พิพากษา 9 คนยังได้ประชุมเลือกผู้พิพากษา 1 คนในองค์คณะเป็นเจ้าของสำนวนด้วย ได้มีมติเลือกนายชาติชาย อัครวิบูลย์ รองประธานศาลฎีกา เป็นเจ้าของสำนวนคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อกล่าวหาที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดต่อนายสมศักดิ์ฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ จากกรณีนายสมศักดิ์มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ในการดำรงตำแหน่ง ส.ส., รมช.ศึกษาธิการ, รมว.ศึกษาธิการ และ รมว.เกษตรและสหกรณ์ รวม 8 ครั้ง ตั้งแต่วันที่ 6 พ.ค. 40 ซึ่ง ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่ามีเงินของนายสมศักดิ์จำนวน 28 ล้านบาท กระจายใน 21 บัญชี แต่ไม่ได้ยื่นต่อ ป.ป.ช.โดยมีชื่อผู้อื่นถือกรรมสิทธิ์นั้น ป.ป.ช.ได้ฟ้องเป็นคดีอาญาต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 263 วรรคสอง และพ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 34 วรรคสองซึ่งศาลฎีกาฯ มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 4 พ.ค. 55 เป็นคดีหมายเลขแดง อม.3/2555 ว่า การกระทำของนายสมศักดิ์เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 119 จึงให้จำคุก 6 เดือน ปรับ 10,000 บาท แต่ไม่ปรากฏว่า นายสมศักดิ์เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้ มีกำหนด 3 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา พร้อมทั้ง ห้ามนายสมศักดิ์ ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ 2 ธ.ค. 2551 ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยยุบพรรคชาติไทย มีผลให้ผู้คัดค้านซึ่งเป็นกรรมการบริหารพรรคและ ส.ส.พ้นจากการดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นต้นไปด้วย