xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอุทธรณ์สั่งจำคุก 4 นปช.คนละ 4 ปี วางระเบิดพรรคภูมิใจไทยปี 53

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายเดชพล พุทธจง อายุ 60 ปี และนายกำพล คำคง อายุ 46 ปี ผู้ต้องหาคีดวางระเบิดพรรคภูมิใจไทย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้จำคุก 4 แนวร่วม นปช. ระเบิดพรรคภูมิใจไทย ปี 53 คนละ 4 ปี ส่วนจำเเลยที่ 5 มือประกอบระเบิดจำคุก 2 ปี 8 เดือน แต่ไม่มาฟังคำพิพากษา ศาลออกหมายจับ พร้อมสั่งปรับนายประกัน 5 แสน


วันนี้ (21 ก.ย.) ที่ห้องพิจารณา 809 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีวางระเบิดพรรคภูมิใจไทย หมายเลขดำ อ.1007/2554 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายเดชพล พุทธจง อายุ 60 ปี อาชีพค้าขาย, นายกำพล คำคง อายุ 46 ปี อาชีพขี่จักรยานยนต์รับจ้าง, นายกอบชัย หรืออ้าย บุญปลอด อายุ 47 ปี อาชีพค้าขาย, นางวริศรียา หรืออ้อ บุญสม อายุ 47 ปี อาชีพตกแต่งภายใน และนายสุริยา หรืออ้วน ภูมิวงษ์ อายุ 43 ปี อาชีพช่างทำบั้งไฟ ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-5 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันทำวัตถุระเบิด มีวัตถุระเบิดที่ออกใบอนุญาตไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธ (วัตถุระเบิด) ไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุสมควร และกระทำให้เกิดระเบิดฯ ตามความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 38, 74, ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 218, 371

กรณีเมื่อระหว่างต้นเดือน มิ.ย.ถึงวันที่ 2 มิ.ย. 2553 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งห้ากับพวกร่วมกันผลิต และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่ทำขึ้น โดยร่วมกับนายเอนก สิงขุนทด เป็นผู้เข็นรถเข็นผลไม้ที่ซุกซ่อนระเบิดไว้ในถังแก๊ส เข็นผ่านไปทางด้านของอาคารที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ใกล้ซอยพหลโยธิน 43 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม.จนเกิดระเบิดขึ้น เป็นเหตุให้ผนังด้านหลังอาคารพรรคภูมิใจไทยแตกเสียหาย เพิงโรงเรือนร้านค้าขายอาหารตามสั่งของนายแถม ตรุพิมาย ถูกแรงระเบิดเสียหายพังทั้งหลัง เป็นเงิน 50,000 บาท รถยนต์เก๋งทะเบียน ธต 7963 กทม.ของว่าที่ ร.ต.ภูมิรัตน์ นาคอุดม ได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 40,000 บาท ส่วนนายอเนก สิงขุนทด ได้รับบาดเจ็บสาหัส จนตาพิการ(บอด)ทั้งสองข้าง จากเหตุระเบิดดังกล่าวเหตุเกิดที่แขวงลาดยาว เขตจตุจักร แขวงและเขตลาดพร้าว กทม. ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ แต่ให้การปฏิเสธชั้นศาล

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 16 ก.ย. 2556 เห็นว่า จำเลยทั้งห้าเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ไม่พอใจรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ขณะนั้น) โดยมี จำเลยที่ 1-3 เป็นผู้สั่งการให้นายอเนกเข็นรถผลไม้ไปที่หน้าพรรคภูมิใจไทยก่อนที่จะมีการระเบิดขึ้น จึงมีส่วนร่วมในการกระทำผิดกับนายเอนก และจำเลยที่ 5 รับว่า เป็นผู้ประกอบระเบิดอย่างเดียว ไม่มีส่วนรู้เห็นในการวางระเบิด ส่วนจำเลยที่ 4 พยานโจทก์ยังมีข้อสงสัยจึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 4

พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-3 กระทำผิดมาตรา 218, 221, 222 และ 317 และความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนและกระสุนปืน เป็นความผิดหลายกรรม แต่ให้ลงโทษบทหนักสุด ในความผิดฐานร่วมกันทำให้เกิดระเบิดตามมาตรา 222 ประกอบ 218 จำคุกคนละ 5 ปี ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครอง จำคุกคนละ 5 ปี และฐานพาวัตถุระเบิดไปในเมือง ปรับคนละ 100 บาท รวมโทษจำคุกคนละ 10 ปี และปรับคนละ 100 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 มีความผิดฐานประกอบระเบิด และ พ.ร.บ.อาวุธปืน ลงโทษจำคุก 5 ปี แต่จำเลยที่ 1-3 และ 5 ให้การเป็นประโยชน์ ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 6 ปี 8 เดือน และปรับ 66.66บาท ส่วนจำเลยที่ 5 คงจำคุกไว้ 3 ปี 4 เดือน ยกฟ้องจำเลยที่ 4 แต่ให้ขังไว้ระหว่างอุทธรณ์ จำเลยยื่นอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้อง ส่วนอัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งห้าสถานหนักด้วย

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษากันแล้วข้อเท็จจริงจากการนำสืบเห็นว่า จำเลยที่ 1 -4 เป็นตัวการร่วมกัน สั่งการ โดยแบ่งหน้าที่กันทำ และมีวัตถุระเบิดที่จำเลยที่ 5 ประกอบขึ้น เพียงแต่วันเกิดเหตุ จำเลยที่ 1-3 และนายอเนกเป็นผู้เข็นรถผลไม้ที่ซุกซ่อนถังแก๊สระเบิดใกล้บริเวณอาคารที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ส่วนจำเลยที่ 4 แม้จะไม่ได้ร่วมในเหตุการณระเบิด แต่ก็คอยใช้โทรศัพท์มือถือสอบถามติดตามสถานการณ์โดยตลอด จึงย่อมมีความผิดร่วมกับจำเลยที่ 1-3 ด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ 1-4 กระทำผิดหลายกรรมต่างกันลงโทษทุกกรรม ฐาน ร่วมกันกระทำให้ระเบิดจนเป็นอันตรายแก่บุคคล และทรัพย์สินอื่นๆ จำคุกคนละ 3 ปี ,ฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกคนละ 3 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1-4 คนละ 6 ปี ปรับคนละ 100 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 ผิดฐานประกอบวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 4 ปี คำให้การในชั้นสอบสวน จำเลยทั้งห้า ให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้าง ลดโทษให้กระทงละ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยที่ 1-4 ไว้คนละ 4 ปี ปรับคนละ 66.66 บาท ส่วนจำเลยที่ 5 จำคุก 2 ปี 8 เดือน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายสุริยา จำเลยที่ 5 ได้หลบหนี และศาลได้ออกหมายจับ ปรับนายประกัน 5 แสนบาท ซึ่งในวันนี้ยังไม่สามารถติดตามตัวจำเลยที่ 5 มาฟังคำพิพากษาได้ ศาลจึงได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลับหลังจำเลย ส่วนนายอเนกซึ่งเป็นคนเข็นรถขายผลไม้ซุกซ่อนระเบิด และอัยการได้แยกฟ้องเป็นคดีดำ อ.2930/2553 นั้น ก่อนหน้านี้ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาแก้ จากเดิมที่ศาลชั้นต้นจำคุก 35 ปี โดยลดโทษจำคุกเหลือ 5 ปี และปรับเงิน 50 บาท

อย่างไรตามในส่วนของจำเลยที่ 4 นั้นญาติได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวระหว่างฎีกาสู้คดี ซึ่งศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ประกันโดยตีราคา 5 แสนบาท แต่กำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศ
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น