xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษจำคุก 27 ปี 6 เดือน “เอนก สิงขุนทด” มือวางระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทยปี 53 (มีคลิป)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


MGR Online - ศาลฎีกาพิพากษาแก้โทษให้จำคุก 27 ปี 6 เดือน “เอนก สิงขุนทด” จำเลยที่ 1 มือระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทย ก่อความวุ่นวายเมื่อปี 2553 เจ้าตัวยอมรับผิด ระบุหากย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ร่วมก่อเหตุร้ายดังกล่าว



วันนี้ (22 ก.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ห้องพิจารณาคดี 708 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีหมายเลขดำที่ อ.2930/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้องนายเอนก สิงขุนทด จำเลยที่ 1 ซึ่งพิการตาบอดทั้งสองข้างเนื่องจากได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิดหน้าพรรคภูมิใจไทย, นายเดชพล พุทธจง จำเลยที่ 2, นายกำพล คำคง จำเลยที่ 3 นายกอบชัย หรืออ้าย บุญปลอด, จำเลยที่ 4 นางวริศรียา หรืออ้อ บุญสม จำเลยที่ 5 และนายสุริยา หรืออ้วน ภูมิวงษ์ จำเลยที่ 6 ฐานร่วมกันทำวัตถุระเบิด มีวัตถุระเบิดที่ออกใบอนุญาตไม่ได้ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พาอาวุธ (วัตถุระเบิด) ไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุสมควร และกระทำให้เกิดระเบิดฯ ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 38, 74, และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 221, 222, 218, 371

โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างต้นเดือน มิ.ย. 2553 ถึง 22 มิ.ย. 2553 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันผลิตหรือทำวัตถุระเบิด และร่วมกันมีวัตถุระเบิดที่ทำขึ้น โดยจำเลยทั้งหกกับพวกไม่ได้รับใบอนุญาต แล้วจำเลยทั้งหกกับพวกร่วมกันทำให้เกิดการระเบิดขึ้น โดยนายนายอเนก สิงขุนทด จำเลยที่ 1 เป็นผู้เข็นรถเข็นผลไม้ที่ซุกซ่อนระเบิดไว้ เข็นผ่านไปทางด้านหลังของอาคารที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ตั้งอยู่ใกล้ซอยพหลโยธิน 43 แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. ก่อนเกิดระเบิดขึ้นเป็นเหตุให้ผนังด้านหลังอาคารพรรคภูมิใจไทยแตกเสียหาย ขณะเดียวกัน แรงระเบิดยังทำให้นายอเนกตาบอดทั้งสองข้าง นอกจากนี้ เพิงโรงเรือนร้านค้าขายอาหารตามสั่งของนายแถม ตรุพิมาย ถูกแรงระเบิดเสียหายพังทั้งหลัง ค่าเสียหายเป็นเงิน 50,000 บาท รถยนต์เก๋งทะเบียน ธต 7963 กทม.ของว่าที่ ร.ต.ภูมิรัตน์ นาคอุดม ได้รับความเสียหาย เป็นเงิน 40,000 บาท ชั้นพิจารณาจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยอื่นให้การปฏิเสธ จึงได้แยกสำนวนพิจารณา

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 24 เม.ย. 2555 ให้จำคุกจำเลยรวม 2 กระทงๆ ละ 10 ปี ฐานมีระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และปรับ 100 บาท, ฐานพกพาอาวุธไปในที่สาธารณะ และให้จำคุกตลอดชีวิต ฐานทำระเบิดให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินฯ และสถานที่ประชุม ซึ่งเป็นโทษหนักสุดตามมาตรา 222 และ 218 จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ให้จำคุกรวมทั้งสิ้น 35 ปี และปรับ 50 บาท

จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลพิพากษาลดโทษ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่า โจทก์มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.บางเขน 2 นายที่ไปตรวจยังจุดเกิดเหตุ เป็นพยานเบิกความว่าใช้กล้องบันทึกภาพและเสียงของจำเลยที่ให้การรับสารภาพเล่าเหตุการณ์ไว้ ขณะที่ยังมีการคัดลอกข้อมูลจากกล้องวงจรปิดบริเวณที่ทำการพรรคภูมิใจไทย ประกอบบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาจำเลย และคำให้การของจำเลยชั้นสอบสวนที่เล่าถึงพฤติการณ์และเหตุจูงใจด้วย จำเลยให้การับสารภาพ อีกทั้งพยานโจทก์เป็นเจ้าหน้าที่ของรับปฏิบัติไปตามหน้าที่และไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลย จึงไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่าจะให้การปรักปรำ พยานหลักฐานของโจทก์ที่นำสืบมาจึงรับฟังได้ปราศจากข้อสงสัย เชื่อว่าจำเลยกระทำผิดฐานร่วมกันทำให้เกิดระเบิดจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่สถานที่ประชุมตามที่ศาลชั้นต้นพิพากษา อุทธรณ์ของจำเลยในส่วนนี้ที่ว่าไม่ได้กระทำผิดจึงฟังไม่ขึ้น ส่วนความผิดฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น แม้จำเลยจะทำและมีวัตถุระเบิด 2 ลูก ซึ่งวัตถุระเบิดอีก 1 ลูกไปตรวจยึดได้ที่ริมถนนรามอินทรา 81 แต่การกระทำของจำเลยนั้นมีเจตนามุ่งการกระทำการในคราวเดียว ความผิดของจำเลยฐานร่วมกันทำและมีวัตถุระเบิดโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นจึงเป็นความผิดกรรมเดียว ที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบานั้นฟังขึ้น เห็นสมควรลงโทษจำเลยที่ 1 ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดี พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 5 ปี ฐานทำให้เกิดระเบิดเป็นอันตรายต่อทรัพย์สินฯ ลงโทษจำคุก 5 ปี รวมจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้เป็นเวลา 5 ปี และปรับ 50 บาท

ต่อมาโจทก์ยื่นฎีกาขอให้ลงโทษตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษากันแล้ว เห็นควรพิพากษาแก้ให้จำคุกตลอดชีวิต แต่จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 25 ปี แต่เมื่อรวมโทษจำคุกในทุกกรรมแล้ว รวมโทษจำคุก 27 ปี 6 เดือน และปรับ 50 บาท

ภายหลัง นายเอนกกล่าวว่า ตนเองรู้สึกเสียใจ ยอมรับในความผิดต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตนทำไปเพราะถูกชักชวนและความหลงผิด โดยกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว แต่หากย้อนกลับไปได้ก็คงจะไม่ก่อเหตุดังกล่าว หลังจากนี้ก็จะต้องเรียนรู้การใช้ชีวิตในเรือนจำ อย่างไรก็ตาม คดีนี้ตนถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำมาแล้วเป็นเวลา 5 ปี 2 วัน ทางเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ก็คงจะต้องนับโทษต่อจากเดิม จึงขอฝากเตือนสติคนที่เกี่ยวข้องกับความวุ่นวายทางการเมืองให้ดูตนเป็นตัวอย่าง ส่วนอาการบาดเจ็บที่ดวงตาก็ได้รับการดูแลจากเจ้าหน้าที่รัฐ แพทย์และพยาบาลที่ให้การรักษาเป็นอย่างดีจนอาการดีขึ้น
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น