โฆษก ตร.เผยเตรียมออกหมายจับผู้ต้องหาคดีระเบิดแยกราชประสงค์-ท่าเรือสาทร เพิ่มอีกเป็นชาวปากีสถาน สามี “ปณิฐ์สรา” สาวไทยที่ถูกจับในหอพักย่าน ม.หอการค้าไทย ฐานเป็นผู้สนับสนุนการเงินและพามือระเบิดหลบหนี ส่วน “อิซาน” ข้อมูลล่าสุดคาดไม่น่าเป็นตัวการใหญ่ ยอมรับประสานตุรกีคลาดเคลื่อน ส่วน “วรรณา” ยังติดต่อไม่ได้ เตรียมออกหมายจับตามกฎหมายผู้ร้ายข้ามแดน
วันนี้ (17 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ และท่าน้ำสาทร ว่าเมื่อวันที่ 16 ก.ย.ที่ผ่านม เลขานุการเอกของสถานเอกอัครราชทูตตุรกีประจำประเทศไทยมาประสานงานเรื่องการให้ความร่วมมือการตรวจสอบพาสปอร์ตที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ทำการยึดไว้และความร่วมมือในการตรวจสอบพาสปอร์ตของนายอาเดม คาราดัก หรือนายบิลลาเติร์ก มูฮัมหมัด ผู้ต้องหาที่ถูกควบคุมตัวไว้ซึ่งดูแล้วว่าเป็นของปลอม แต่ปลอมในนามของประเทศตุรกี ทั้งนี้ แม้ทางตุรกีจะต้องการพาสปอร์ตทั้งหมดไปตรวจสอบที่ประเทศตุรกี แต่ทางเราไม่สามารถให้ได้เพราะพาสปอร์ตทั้งหมดอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายความมั่นคง และเราต้องใช้เล่มพาสปอร์ตเหล่านี้ในการดำเนินคดีอาญา หากระหว่างที่เราให้ไปแล้วเราต้องนำส่งศาลพอดีมันจะเกิดปัญหา แต่ที่ให้ได้ตอนนี้คือสำเนาและการตรวจสอบทางการไทยก็พร้อมที่จะให้เจ้าหน้าที่เทคนิคของประเทศตุรกีร่วมตรวจสอบในประเทศไทยได้ เพราะสามารถใช้เครื่องมือในการตรวจสอบทำได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้ยังมีการสอบถามถึงเรื่องเส้นทางหลบหนีของนายอาบูดูซาตาเออร์ ดาบูดูเรห์มาน หรือ อิซาน ที่ทางสถานทูตประเทศบังกลาเทศยืนยันว่าได้เดินทางเข้าไปทางประเทศตุรกีไปแล้ว ทั้งนี้ ประเทศไทยมีความสัมพันธ์กับประเทศตุรกีเป็นอย่างดี แต่มีความคลาดเคลื่อนในการยื่นเอกสารประสานงานขอความร่วมมือเท่านั้นเอง เพราะทางเจ้าหน้าที่ไม่สามารถส่งเอกสารให้ทางสถานทูตตุรกีโดยตรงได้ ตามแนวทางของการประสานงานจะต้องมีการคัดกรองตรวจสอบเอกสารโดยสถานทูตก่อน หลังจากนั้นจึงจะทำงานร่วมกันโดยตรงได้ ที่ผ่านมาตนยอมรับผิด อาจพูดเร็วไป จากนี้จะปรับการประสานปรับการทำงานร่วมกัน อย่างไรก็ตาม ระหว่างนี้จะตรวจสอบข้อมูลการเดินทางของนายอิซานผ่านทางกรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกรุงนิวเดลี ประเทศอินเดียด้วย
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า ข่าวดีคือจะมีการอนุมัติออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติมอย่างน้อย 1 คน ภายในสัปดาห์นี้ คาดว่าน่าจะเป็นนายอับดุล ทาวับ ชาวปากีสถาน ในข่าวระบุว่าเป็นสามีของนางปณิฐ์สรา ชาลีรัฐรมย์ อายุ 39 ปี ซึ่งเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวได้ที่หอพักย่านมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ส่วนจะเป็นสามีของนางปณิฐ์สราจริงหรือไม่ ต้องขอตรวจสอบดูก่อน ส่วนผู้ที่จะออกหมายจับมีความเกี่ยวข้องด้านไหนบ้างนั้นต้องขอตรวจสอบก่อนในสำนวนก่อนว่าความผิดแตะในส่วนไหนบ้าง แต่ไม่ได้มีบทบาทเท่านายยูซูฟู มีไรลี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้แล้ว
“คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในขบวนการกลุ่มเดียวกัน เรายังระบุไม่ได้ว่าใครเป็นตัวการใหญ่ แต่น้ำหนักที่บอกว่านายอิซานเป็นตัวการใหญ่ไม่น่าจะใช่ เพราะบทบาทยังไม่ถึง เป็นไปได้ทั้งนั้นว่าบุคคลนี้ที่จะออกหมายจับอาจเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินหรือผู้ที่อำนวยความสะดวกนำกลุ่มผู้ก่อการหลบหนี หากเขารู้ในส่วนไหนเราก็จะมีหลักฐานในส่วนนั้นในการอนุมัติขอหมายจับ ถ้าตรงและเป็นเรื่องที่มีหลักฐานยืนยันก็ขอหมายจับไว้ เบื้องต้นที่สงสัยชายคนนี้น่าจะอยู่ในส่วนของผู้อำนวยความสะดวก ทั้งสนับสนุนในการเคลื่อนย้ายเดินทาง ส่วนนางปณิฐ์สราก็มีส่วนรู้เห็นในการเข้าออกประเทศโดยไม่ชอบ ให้ที่พักพิงมีก็ถือความผิด อย่างไรก็ตาม การสืบสวนพบว่าก็ต้องมีคนไทยร่วมด้วย หากพบใครเกี่ยวข้องทำผิดก็จะขออนุมัติหมายจับในคราวเดียว” พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าว
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวว่า สำหรับเรื่องสัญชาติของผู้ที่จะถูกออกหมายจับยังไม่สามารถตอบได้เพราะที่ว่าเป็นชาวปากีสถานเป็นเพียงคำบอกเล่าเท่านั้น ทั้งนี้ นางปณิฐ์สรายังอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ทหาร ส่วนจะมีความพร้อมในการตั้งข้อกล่าวหาหรือไม่นั้น ต้องดูที่ความเกี่ยวข้องว่ามากน้อยขนาดไหน จากการสอบสวนนางปณิฐ์สราก็เป็นไปได้ว่าจะมีพบบุคลคนอื่นๆ ที่มีความเชื่อมโยงต่อเหตุการณ์นี้ แต่นางปณิฐ์สราอยู่ในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ทหาร เราไม่ได้เข้าไปสอบสวนเอง ทำได้เพียงฝากประเด็นเท่านั้น ความชัดเจนจะเกิดเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารส่งตัวนางปณิฐ์สรามาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ
โฆษก ตร.กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่พบว่าเจ้าหน้าที่รัฐคนใดให้ความช่วยเหลือ แต่ก็ตรวจสอบอยู่ ส่วนกรณี น.ส.วรรณา สวนสัน หรือนางไมซาเราะห์ หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกหมายจับนั้น ตั้งแต่สามีของ น.ส.วรรณาถูกออกหมายจับก็ขาดการติดต่อ เจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายพยายามติดต่อแต่ก็ติดต่อไม่ได้ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าอยู่ที่ไหน ขณะนี้เชื่อได้ว่า น.ส.วรรณาจงใจหลบหนีแล้ว เราก็ต้องตามจับตามกฎหมาย โดยดำเนินการตามวิธีส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป
ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา รอง ผบ.ตร.ระบุว่ารู้ชื่อชายเสื้อเหลืองแล้วจะมีการขออนุญาตเปลี่ยนแปลงข้อมูลในหมายจับเป็นการใส่ชื่อสกุลจริงหรือไม่นั้น โฆษก ตร.กล่าวว่า ขอให้ยืนยันและตรวจสอบว่าชื่อนี้แน่ชัดหรือไม่ หากใช่ก็คงได้รูปถ่ายจริงด้วย หมายจับมีแล้ว ก็ตามจับตามหมายที่มี อย่างไรก็ตาม พล.ต.อ.จักรทิพย์รู้ข้อมูลเชิงลึกมาก การดำเนินการสืบสวนจับกุมก็ติดตามตามข้อมูลที่สืบพบ
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวต่อไปว่า เหตุการณ์ระเบิดผ่านมา 1 เดือนแล้ว ตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ อย่างที่เห็นว่าวงมันกว้างขึ้นเรื่อยๆ กว้างไปเยอะมาก มีผู้เกี่ยวข้องเยอะ ความคืบหน้าที่เรารู้และสามารถยืนยันได้ชัดเจนว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้ทำ แต่เรารู้หลังจากมีการวางระเบิดแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์คงไม่มีใครรออยู่ หลบหนีไปไกลแล้ว ส่วนวิธีการที่เราตามไปเจอเพราะสืบทราบที่กบดานเท่านั้นเอง
“ขณะนี้ได้มีการประสานงานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซีย และเจ้าหน้าที่ตำรวจชายแดนแล้ว ส่วนการสอบถามข้อมูลการนำพาชายเสื้อฟ้าหลบหนีเป็นข้อมูลที่ต้องสอบถามแน่นอน เพียงแต่ว่าเราไม่สามารถไปพูดตรงแบบนั้นกับเขาได้ เพราะเขาไม่ได้ทำผิดในบ้านเรา หากเขาเป็นคนนำพาไปจริงก็จะผิดกฎหมายของการนำคนเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายของมาเลเซีย เป็นขบวนการสนับสนุน ซึ่งไม่ได้มาทำผิดกฎหมายในบ้านเรา เพราะฉะนั้นเมื่อไม่ผิดบ้านเราก็ให้ทางมาเลเซียสอบให้เรา การหลบหนีของชายเสื้อเหลืองและฟ้ายังไม่ยืนยัน โดยขณะนี้เชื่อว่าชายเสื้อเหลืองว่าน่าจะพ้นแนวที่เราสกัดไปแล้ว แต่ว่าจะไปอยู่ส่วนไหนต้องตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ส่วนผู้หญิง 3 คนที่ได้ควบคุมตัวจากหอพักย่านมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยจะเกี่ยวข้องกับชายเสื้อฟ้าหรือไม่นั้น ยังไม่มั่นใจ ต้องดูให้ชัดเจนอีกครั้งหนึ่ง
พล.ต.ท.ประวุฒิกล่าวเพิ่มถึงความคืบหน้าการจัดซื้อเครื่องมือตรวจสอบเอกลักษณ์บุคคล หรือ ไบโอเมตริกส์ หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกำชับให้เร่งดำเนินการจัดซื้อให้ว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ตนศึกษาข้อมูลมานานกว่า 7 ปี จนขณะนี้เครื่องมีดังกล่าวมีความเสถียร ขณะนี้มีประเทศในโลกมากกว่า 50 ประเทศที่ใช้เทคโนโลยีดังกล่าว เป็นการตรวจสอบร่วมกันระหว่างการใบหน้า ลายนิ้วมือ และการตรวจสอบชื่อในการเดินทางเข้าออกประเทศทุกครั้งซึ่งจะทำให้ผู้กระทำผิดไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ เนื่องจากที่ผ่านมาพบว่าการตรวจสอบข้อมูลแบบเดิมที่มีอยู่ไม่สามารถตรวจสอบผู้ลักลอบเข้าเมืองที่มักใช้วิธีการปลอมแปลงเอกสารในการลักลอบเดินทางเข้าออกประเทศ จนเกิดผลเสียร้ายแรงต่อประเทศในที่สุด จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่จะต้องการนำเครื่องมีที่มีความทันสมัยเข้ามาใช้
โฆษก ตร.กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะมีการชี้แจงต่อคณะทำงานของ พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รองนายกรัฐมนตรี หากได้ข้อสรุปก็จะสามารถดำเนินการต่อได้ทันที โดยภายในระยะเวลา 6 เดือน จะทำการติดตั้งที่สนามบินดอนเมือง และสนามบินสุวรรณภูมิ และอีก 6 เดือนถัดไปจะติดตั้งที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองทั่วประเทศ พร้อมทั้งเปิดให้ตำรวจทุกพื้นที่ทั่วประเทศและหน่วยงานอื่นๆ เข้าไปบันทึกข้อมูลแบล็กลิสต์ในกรณีพบผู้กระทำผิดเพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบสกัดกั้นการเดินทางเข้าและออกประเทศของผู้กระทำผิดกฎหมายได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งจะมีการหารือเรื่องการกวดขันการลักลอบเดินทางเข้าออกในเส้นทางธรรมชาติด้วย