ASTVผู้จัดการ - ผบ.ตร. แฉซ้ำ ตม.สระแก้ว ผู้ต้องหาคดีระเบิดจ่ายใต้โต๊ะเดินทางเข้าออก 4 - 5 รอบ ลั่นขอทิ้งระเบิดปรมาณูก่อนเกษียณ เส้นใหญ่แค่ไหนก็เปิดโปง ส่งบันทึกรายงานนายกฯ แล้ววันนี้ ส่วนคดีระเบิด ยืนยันยังไม่มีการจับใครเพิ่ม และไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตามจับในประเทศเพื่อนบ้านตามข่าว ส่วน “วรรณา” ยังติดต่อไม่ได้ ยืนยันยังไม่เชื่อคำให้การซัดทอด “อิซาน” เป็นผู้บงการ
วันนี้ (9 ก.ย.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม และท่าน้ำสาทร ที่ล่าสุดมีกระแสข่าวพบความเคลื่อนไหวของขบวนการนี้บริเวณชายแดนไทยติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ว่า ยังไม่ได้รับการยืนยันจากชุดคลี่คลายคดีในเรื่องนี้ และยืนยันว่า ตอนนี้ยังไม่มีการจับกุมผู้ต้องสงสัย หรือผู้ต้องหาเพิ่มเติมแต่อย่างใด กระแสข่าวที่ออกมาจึงไม่เป็นความจริง ทั้งนี้ ข่าวก็คือข่าว และไม่รู้ว่าข่าวนี้มาจากไหน จึงย้ำเสมอว่า อย่าเพิ่งรีบสรุป หรือเชื่อไปตามคำให้การ หรือคำบอกเล่าทั้งจากผู้ต้องหา เพราะเขาอาจพูดเช่นนั้นเพียงเพื่อต้องการให้ตัวเองพ้นผิดในบางเรื่อง ที่อ้างว่า มีการส่งเจ้าหน้าที่หน่วยความมั่นคงไปติดตามจับผู้ต้องหาในมาเลเซีย นั้น ตนพูดไม่ได้เช่นนั้น การกระทำใด ๆ ต้องผ่านกระบวนการทางการทูต ตามกฎหมายที่ถูกต้องจะบอกว่าเราส่งคนไปจับใครในประเทศเขาไม่ได้ แต่เรื่องนี้ไม่ยืนยัน ไม่มีหรอก แต่อย่างไรก็ตาม หากมีการระบุถึงผู้ต้องหาหรือผู้ต้องสงสัยว่าอยู่ในประเทศใด มิตรประเทศใกล้เคียงหรือที่อื่น ๆ ต้องมีการตรวจสอบและประสานงานแน่นอน
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงกรณี น.ส.วรรณา สวนสัน ผู้ต้องหาในขบวนการดังกล่าวที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ว่า ตอนนี้เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ว่า น.ส.วรรณา อยู่ในประเทศใด ทางกระทรวงการต่างประเทศก็ไม่ได้ยืนยันว่า น.ส.วรรณา อยู่ที่ใด อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ น.ส.วรรณา อ้างว่าอยู่ที่นั่นที่นี่อาจไม่เป็นความจริงก็ได้ รวมทั้งสิ่งที่ทางญาติของ น.ส.วรรณา อ้างว่า อยู่ที่ประเทศตุรกีก็ยังไม่มีอะไรยืนยัน เนื่องจาก น.ส.วรรณา ติดต่อมาเพียงระยะเดียวจากนั้นทางตำรวจก็ไม่สามารถติดต่อกลับไปได้อีก
“ขอยืนยันว่า ขบวนการนี้มีผู้ร่วมขบวนการหลายคน มีขั้นตอนในการก่อเหตุที่สลับซับซ้อน ใช้การสื่อสารหลายรูปแบบที่มากกว่าโทรศัพท์ ขบวนการนี้ทำงานละเอียด แบ่งงานกันอย่างดี สงสัยจะดูหนังเยอะ” ผบ.ตร. กล่าว
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงกรณีคำซัดทอดของนายมีไรลี ยูซูฟู ว่า ผู้บงการทั้งหมด คือ นายอิซาน ว่า ต้องมีพยานหลักฐานอื่น ๆ ประกอบเพื่อยืนยันว่าคำให้การของนายยูซูฟูเป็นความจริงก่อนที่จะสรุปได้ เนื่องจากที่ผ่านมาหลายครั้งคำให้การหรือคำบอกเล่าไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น กรณีที่คิดกันว่าคนร้ายซ้อนรถจักรยานยนต์ และได้โยนระเบิดจากสะพานตากสินลงมายังท่าน้ำสาทร ก็ไม่เป็นความจริง ซึ่งตนก็สังเกตพบพิรุธว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงสั่งให้ตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณสะพานตากสินย้อนหลัง 2 ชั่วโมง ก็ไม่พบความผิดปกติใด ๆ หลังจากนั้น จึงได้มีการลงมาตรวจสอบบริเวณท่าเรือจนพบว่ากล้องสามารถจับภาพชายต้องสงสัยนำกระเป๋ามาทิ้งไว้ใต้สะพานเชื่อมท่าเรือดังกล่าว สิ่งเหล่านี้ยืนยันได้ว่าข่าวก็คือข่าว กรณีระเบิดที่ท่าน้ำสาทรนั้น อาจจะเป็นการทิ้งเพื่อก่อเหตุที่อื่นแต่คนลงมือเป็นชาวต่างชาติ จึงไม่รู้จักสถานที่นั้นจึงมาผิดที่ หรือว่าอาจจะได้รับคำสั่งให้ยกเลิกแผนการที่สองจึงนำกระเป๋าระเบิดมาทิ้งไวก็ได้ เนื่องจากเหตุที่แยกราชประสงค์นั้นสำเร็จแล้ว ดังนั้น ทุกการสันนิษฐานจึงเป็นไปได้ทั้งนั้น ต้องยืนยันด้วยพยานหลักฐาน เพราะขบวนการนี้อาจเป็นขบวนการเดียวกัน แต่มีการแบ่งแยกหน้าที่กันทำงานจนผู้ก่อเหตุในขบวนการให้การไม่เชื่อมโยง ไม่รู้จักกันเลยก็เป็นได้” ผบ.ตร. กล่าว
เมื่อถามว่า คดีนี้เข้าข่ายความผิดที่ต้องพิจารณาในศาลทหารหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เรื่องนี้กำลังพิจารณาอยู่ว่ารายละเอียดทางคดีเข้าข่ายที่ต้องพิจารณาในศาลทหารหรือไม่ ถ้าพนักงานสอบสวนเห็นว่าเป็นประเด็นหรือเป็นเงื่อนไขตามข้อกฎหมายว่าจะต้องขึ้นศาลทหารก็เลี่ยงไม่ได้ ศาลทหารก็ศาลทหาร ฝ่ายตำรวจมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมเพื่อเอาผิดกับผู้ต้องหาให้ได้ ส่วนการที่ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้ความเห็นว่า คดีนี้เข้าข่ายที่จะต้องขึ้นศาลทหาร ตนก็ต้องรับฟังและนำมาพิจารณาเนื่องจากท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย
ผบ.ตร. กล่าวด้วยว่า ตราบใดอยู่ในตำแหน่งทำหน้าที่ ผบ.ตร. จะทำคดีนี้ให้ดีที่สุด โดยเชื่อมั่นใน ว่าที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ว่าที่ ผบ.ตร. คนต่อไป ต้องสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ ทำได้ดีกว่าตนด้วย
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวถึงกรณีพฤติกรรมตำรวจตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ที่กระทบต่อภาพลักษณ์สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่า ตนได้ทำบันทึกถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแล้ว จะส่งไปภายในวันนี้
“เนื้อหาคือสิ่งที่เกิดขึ้น ได้รับการร้องเรียน มีการสืบสวน มีพยานหรือบุคคลที่บอกกล่าวเล่าให้ฟังว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ ผมเห็นว่า ปัญหานี้ระดับไม่ธรรมดา ไม่ถูกต้อง ไม่ถูกกฎหมาย ผู้นำประเทศต้องรู้ปัญหานี้ และช่วยเหลือแก้ไข ผมมีเวลาน้อยที่จะแก้ปัญหานี้ ถ้าผมอยู่อีกสัก 1 - 2 เดือน คงได้เห็นดีกัน แต่ผมมีเวลาแค่ 20 วัน ผมทำเท่าที่ได้ บอก พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ไปว่าท่านจะเป็น ผบ.ตร. รู้ปัญหาแล้ว ท่านทิ้งปัญหานี้ไม่ได้ ต้องเข้ามาแก้ไข ฝากสื่อมวลชนช่วยถามท่านเรื่อย ๆ ว่า ท่านจะทำอย่างไร ผมต้องเรียนท่านนายกฯ เพราะเรื่องนี้กระทบความน่าเชื่อถือ ภาพลักษณ์ เศรษฐกิจ ความมั่นคงของประเทศ หากปล่อยเช่นนี้ต่อไป ความเสียหายเกิดขึ้นกับประเทศชาติ ในฐานะที่เป็นคนไทย ไม่รู้สึกกันหรือ ที่คนกลุ่มหนึ่งทำแบบนี้ ผมเป็นตำรวจผมพูดเรื่องนี้ขึ้นมา เหมือนเอาความไม่ดี ความไม่ถูกต้องในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเปิดเผย ตีแผ่ หลายคนบอกว่าผมไม่ควรเอาเรื่องนี้ขึ้นมา ผมถามกลับไปว่าถ้าผมรู้แล้ว จะปล่อยให้เป็นอย่างนี้อีกต่อไปหรือ ถ้าผมไม่รู้ไม่เป็นไร แต่รู้ มีข้อมูล มีคนมาบอกกล่าวร้องเรียนเล่าสู่ คนกลุ่มนั้นไม่อยากเปิดเผยตัวเอง เขากลัวเดือดร้อน เขาประกอบธุรกิจที่ต้องอาศัยตำรวจ ตม. เช่น มีพนักงานหรือที่ปรึกษาเป็นคนต่างชาติ บริษัทท่องเที่ยว ร้านอาหารที่มีเชฟต่างชาติ พวกนี้ไม่กล้ามีปัญหากับตำรวจหรอก เพราะว่าบางครั้งธุรกิจเหล่านี้มีข้อผิดพลาด คนจ้องจับผิดกับคนระวังสู้ไม่ได้หรอก แต่ขืนเราปล่อยไว้อย่างนี้ ทั้ง ๆ ที่รู้ ผมทำไม่ได้หรอก ผมอาย ถึงแม้มีเวลา 20 วัน ผมก็รู้สึกอาย บางคนบอกว่าไม่เคยมีส่วนรู้เห็น มีการสอบสวน ตรวจสอบแล้ว อ้างว่าไม่พบผิด ก็พูดไป แก้ตัวไป แต่ผมจะนำเสนอนายกรัฐมนตรีเป็นลายลักษณ์อักษร ผมจะต้องทิ้งสิ่งนี้ ท่านนายกรัฐมนตรีต้องเข้ามาดู เพราะผมเชื่อว่าลำพัง ผบ.ตร. คนเดียวแก้ปัญหาเหล่านี้ไม่ได้” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
ผบ.ตร. กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้มาจากการตรวจสอบ สืบสวนจากการร้องเรียนถึงความเสื่อมเสีย แล้วกระทบกระเทือนความมั่นคง เช่นกรณีผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ เดินทางเข้าออกในประเทศไทยไม่รู้ตั้งกี่ครั้งแล้ว แต่ไม่มีการตรวจสอบ
“อย่างไรก็ตาม ที่ทำบันทึกถึงนายกรัฐมนตรียังไม่ระบุถึงตัวบุคคล หากผมรู้บุคคล ผมไม่รอท่านนายกฯ แล้ว ผมชัวะเลย ผมสั่งการ พล.ต.ท.ศักดา ชื่นภักดี ผบช.สตม. ในห้องประชุมเมื่อวันที่ 7 กันยายน ให้ดำเนินการแล้ว จะบอกว่าไม่รู้ไม่ได้ ท่านอาจอยู่ข้างบนไม่รู้เห็น แต่ต้องแก้ไข ที่ประชุมในวันนั้นผมพูดถึงพฤติกรรมต่าง ๆ ไม่มีตำรวจ ตม. คนไหนเถียงผมสักแอะ นั่งเป็นนกปากเจ็บหมดเลย” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ในวงการตำรวจพูดกันว่าตำรวจ สตม. ล้วนเป็นคนที่มีเส้นสาย เป็นคนใกล้ชิดของอดีตผู้บังคับบัญชาระดับสูง ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็นั่นสิ ตนจึงต้องบันทึกถึงนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้หากกลัวตนคงไม่ทำ
“วันนั้นประกาศในที่ประชุม ผมทำอย่างนี้รู้ว่าตำรวจ ตม.เกลียดผม เกลียดก็เกลียดไป ผมไม่เคยต้องการให้ตำรวจ ตม.ตามพะเน้าพะนอเวลาเดินทาง ตามเป็นพวงเป็นฝูง ผมไม่เข้าใจเหมือนกันผู้บังคับบัญชาที่เดินทางไปต่างประเทศชอบให้ลูกน้องเดินตามเป็นหาง บ้าหรือเปล่า เดินทางไม่เป็นหรือ พวกเดินตามก็บ้า ไม่รู้หรือ เขารำคาญจะตาย เวลาผมเดินทางไปไหน มีคนมาคอยตามผม โคตรรำคาญ ผมบอกไปทำงานเถอะน้องไป พอลุกจากเคาน์เตอร์แถวที่ประชาชนเขาติดต่อก็ยาว ชาวบ้านด่า ครั้งนี้ใหญ่แค่ไหนก็จะเปิดโปง เรื่องนี้ผมเรียกมาเตือน มาว่า ดำเนินการมาตลอด คิดว่าไม่เคยดำเนินการหรือ บอกเตือนตลอดเขาว่าเขาร้องเรียนอย่างนั้นอย่างนี้ ที่ออกมาตอนนี้เพราะมันมีระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แล้วผู้ต้องสงสัยให้การว่าเดินทางเข้าออกที่สระแก้ว 4 - 5 รอบ แล้ว เสียตังค์ด้วย ผมไม่ได้จู่ ๆ กุเรื่องมา ผมไม่ใช่คนบ้า ใคร ๆ ก็รู้ทั้งนั้น ฝ่ายสืบสวนรู้ทุกคน” ผบ.ตร. กล่าว และว่า เป็นความหละหลวมหรือไม่ให้คิดกันเอง อย่าให้พูดทุกเรื่อง ไม่หละหลวม เหลวไหล รุ่งริ่ง มันไม่เป็นอย่างนี้หรอก นี่ไม่ใช่แค่การทิ้งทวน แต่คือการทิ้งปรมาณู ทิ้งทวนตายทีละศพ แต่ทิ้งปรมาณูตายทั้งพวง