xs
xsm
sm
md
lg

“สมยศ” มั่นใจจับมือบึ้มได้ชัวร์ วอนอย่าใช้เป็นเวลาเป็นตัวกำหนด จ่อขอหมายจับมือปาระเบิดสาทร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ผบ.ตร.ย้ำยังไม่มีข้อมูลมือบึ้มราชประสงค์ออกนอกประเทศ เชื่อจะจับตัวได้ อย่าใช้เวลาเป็นตัวกำหนด ส่งหลักฐานต่างประเทศดึงภาพวงจรปิดขยายหน้าคนร้าย จ่อหมายจับมือบึ้มสาทร

วันนี้ (24 ส.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ เมื่อค่ำวันที่ 17 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 20 ราย ได้รับบาดเจ็บ 123 ราย และเหตุระเบิดที่ท่าน้ำสาทร เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ว่า ที่ผ่านมาตำรวจทำงานอย่างเต็มที่ ทั้งปฏิบัติการเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามเพื่อสร้างขวัญกำลังใจและการสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามจับกุมคนร้าย ส่งทีมงานติดตามสืบสวนคนต้องสงสัยทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ตามแนวทางการสืบสวนตามคำบอกเล่า และข้อมูลที่ประชาชนผู้หวังดีให้ข่าวสารถึงบุคคลต้องสงสัยว่าหลบไปพำนัก ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบเพื่อให้สิ้นสงสัย

พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ที่ผ่านมาต้องขอบคุณในความหวังดีที่พี่น้องคนไทยหวังดีให้ข้อมูลมา และขอประณามคนไทยที่หวังร้ายที่โทรศัพท์ แจ้งข่าวสาร โพสต์ข้อความผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กอันเป็นเท็จสร้างความตื่นตระหนกตกใจให้แก่พี่น้องประชาชน ในกรณีนี้ตนได้สั่งการไปแล้วว่าหากเป็นการกระทำที่เข้าข่ายผิดกฎหมายให้ดำเนินคดีเพื่อเป็นเยี่ยงอย่าง คนไทยบางพวกที่ชอบส่งข้อความเป็นเท็จเป็นโรคจิตหรือไม่ ตนไม่ทราบ พวกนี้สร้างงานให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น แจ้งเหตุเท็จ แจ้งมีวัตถุต้องสงสัย ซึ่ง 90 เปอร์เซ็นต์เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น ทั้งนี้ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ได้มีการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ทำงานร่วมกันตลอด มีข้อมูลที่ไม่ขอเปิดเผย การทำงานของเจ้าหน้าที่ไม่ถือว่าล่าช้า เพราะทำงานไม่ได้หลับได้นอน คนที่ต่อว่า คิดเสนอแนะต่อว่าเจ้าหน้าที่โดยที่ไม่ได้ทำอะไร พวกนี้มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ

พล.ต.อ.สมยศกล่าวต่อไปว่า สำหรับการปล่อยแถวเจ้าหน้าที่เปิดปฏิบัติการปิดเมืองค้นรังโจร เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ชาวไทยและนักท่องเที่ยวในการดูแลความปลอดภัย แสดงว่ารัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เอาใจใส่ มุ่งหวังให้เกิดความเชื่อมั่น เชื่อใจรัฐบาล มั่นใจเจ้าหน้าที่รัฐว่าดูแลความปลอดภัยให้นักท่องเที่ยวได้ อย่างไรก็ตาม การสืบสวนคลี่คลายคดีทุกอย่างมีจุดหมาย มีเหตุผล ไม่เปิดเผย

พล.ต.อ.สมยศกล่าวถึงความช่วยเหลือจากต่างชาติและการนำเครื่องมือที่ทันสมัยมาช่วยในการสืบสวนว่า ขณะนี้มีมิตรประเทศหลายประเทศให้ความร่วมมือในการสนับสนุน ขณะมีบริษัทเอกชนที่ทำธุรกิจด้านเครื่องมือเหล่านี้นำเครื่องมือมานำเสนอให้ทดสอบ โดยช่วงวันที่ 22-23 ส.ค.ที่ผ่านมาหลายบริษัทนำเครื่องมือมาให้ดู เราดูว่าทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ต่อเชื่อมกับสิ่งที่เรามีหรือไม่ ขณะนี้มีหลายสิ่งที่เรารออยู่ มีหลายสิ่งที่เราส่งไปตรวจสอบที่ต่างประเทศ อยู่ระหว่างรอตอบกลับมา ยอมรับว่าตอนนี้เรายังไม่มีอุปกรณ์ ที่มีศักยภาพในการตรวจสอบ ปัจจุบันการเดินทางเข้าออกประเทศไทย ตรวจสอบ เพียง ชื่อ วันเดือนปีเกิด พาสปอร์ต เราตรวจสอบได้เท่านั้น แต่ปัจจุบันบางประเทศใช้ไบโอแมทริกส์ที่ตรวจสอบรูปหน้า ลายพิมพ์นิ้วมือ และแววตา ขณะนี้ตนทำเรื่องขออนุมัติจัดซื้อจัดหาไว้ใช้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ทั่วประเทศ และตำรวจทุกหน่วยสามารถใช้ได้

“ถ้าเรามีเครื่องมือนี้ป่านนี้รู้แล้วว่าคนที่เรากำลังตามหาเดินทางเข้าออกประเทศหรือยัง แต่ตอนนี้เราติดขัด เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีเล็งเห็นความสำคัญตั้งแต่ต้นปี ท่านไปเห็นที่เกาหลีและเรียกผมไปพบว่า ตม.ควรมีเครื่องมือนี้ และสั่งการ ผมก็ดำเนินการตั้งแต่วันนั้นแต่ติดที่ระเบียบขั้นตอนกฎหมาย ขั้นตอนเยอะ โดยเฉพาะงบประมาณที่ไม่ได้ตั้งไว้ โดยจะนำค่าปรับ ค่าธรรมเนียม ที่ ตม.ส่งคืนคลังปีละ 5-6 พันล้าน ตัดมาสักพันล้านเพื่อจัดซื้อ ประสานไปทั้งกระทรวงการคลัง และกรมบัญชีกลาง ก็อนุญาตให้ใช้งบฯ ตรงนี้ไม่รบกวนรัฐบาล” พล.ต.อ.สมยศกล่าว และว่าเครื่องมือที่ตำรวจมีอยู่ไม่เพียงพอเป็นอุปสรรคในการติดตามตัวคนร้าย

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ท่าน้ำสาทรว่าพยานหลักฐานชัดเจนพอที่จะออกหมายจับกุมผู้ต้องหาได้หรือไม่ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า พนักงานสอบสวนดำเนินการอยู่ แต่กล้องอยู่ไกล เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน เอาเครื่องมือที่เอกชนนำเสนอมาช่วยตรวจสอบ แต่เครื่องมือไม่สนองตอบกัน ตรงนี้ตำรวจต้องไปขอความร่วมมือประเทศที่มีเครื่องมือ เอาเทคโนโลยีนี้ดึงภาพให้เห็นชัด

“เคยดูหนังซีเอสไอไหม คล้ายอย่างนั้น แค่เราไม่มีเครื่องมือเลย ทุกวันนี้ตำรวจไทยทำงานด้วยความรู้ความสามารถ เชี่ยวชาญ ประสบการณ์ จินตนาการ ครีเอตสถานการณ์สร้างเรื่องสร้างสตอรีขึ้นมา มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ยกตัวอย่างทุกวันนี้เราติดตามคนร้ายจากกล้องซีซีทีมี ระหว่างทางมี 20 ตัว แต่เสียไป 15 ตัว ใช้ได้ 5 ตัว ก็กระโดดไปกระโดดมา มีส่วนที่หายไป ตำรวจมานั่งจินตนาการว่าตรงนั้นคืออะไร ต้องเสียเวลาสร้างจินตนาการ ตรวจสอบสิ่งที่ไม่ใช่ แต่ถ้ามีเครื่องมือที่ว่าจะสามารถบอกได้เลยว่าคนร้ายไปโผล่จุดไหนบ้าง เช่น เห็นที่ราชประสงค์ ไปโผล่สีลม แต่กล้องเสียทั้งหมด บังเอิญกล้องดุสิตธานีใช่ได้ ไปโผล่หัวลำโพง โดยเราต้องใช้ทั้งซีซีทีวี พยานและหลายอย่างประกอบเพื่อให้น้ำหนักของพยานหลักฐาน ซีซีทีวีไม่ใช่คำตอบสุดท้าย” พล.ต.อ.สมยศกล่าว

เมื่อถามถึงกรณีที่มีการระบุว่าหลังก่อเหตุคนร้ายเข้าเปลี่ยนเสื้อและปรากฏตัวที่ รพ.จุฬาลงกรณ์ พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า ตนได้ยินข้อมูลนี้เป็นสัปดาห์แล้ว ตั้งแต่หลังเกิดเหตุเป็นข่าวว่าเปลี่ยนเสื้อเป็นสีเทา เราต้องดูพยานว่าเป็นใคร ตรวจสอบซีซีทีวีที่รพ.จุฬา ปรากฎว่ากล้องเสียหมด อย่างนี้ตำรวจเหนื่อยไหม

“จะบอกว่าผู้ต้องหาอยู่ในประเทศหรือไม่ว่าพูดไปก็เหมือนผมเดา ก็ข่าวออก โซเชียลมีเดียออกเสียขนาดนี้ เป็นคุณจะอยู่ไหม เวลาผมพูดอะไรผมมีเหตุผล จะตอบว่าผมไม่รู้ก็หาว่าตำรวจไม่รู้อะไรเลย ผมก็ต้องว่าคิดว่าคาดว่ายังอยู่ในประเทศ ถ้าผมบอกว่าออกไปต่างประเทศแล้ว มันต้องมีเหตุผลว่ามีข้อมูลว่าคนร้ายออกทางสุวรรณภูมิ หรือดอนเมือง ไปต่างประเทศแล้ววันนั้นผมถึงจะบอกว่าเขาเดินทางออกไปแล้ว แต่วันนี้ที่ผมพูดว่ายังอยู่ในประเทศ เพราะผมไม่มีอะไรไปยืนยันว่าเขาออกไปแล้ว ถามกลับว่าข่าวออกซะขนาดนี้ เป็นผมแหกตูดไปแล้ว เป็นคุณจะอยู่ไหมล่ะ เขาก็มีมันสมอง เขาไม่โง่หรอก ผมยังไม่พูดว่าออกไปแล้ว ผมตอบไม่ได้ว่ายังอยู่ในประเทศหรือออกไปแล้ว ผมไม่เคยฟันธง ไม่เคยตัดประเด็นใดทิ้ง ไม่เคยบอกว่าเป็นเรื่องการเมือง ความขัดแย้งส่วนตัว ขัดแย้งธุรกิจ ทุกเรื่องเป็นไปได้ อาจเป็นการเมืองขัดแย้งไม่ชอบหน้า ไม่ชอบคนชาตินั้นชาตินี้ เป็นเรื่องความเชื่อ ศาสนาก็ได้ เป็นไปได้ทุกเรื่อง"พล.ต.อ.สมยศ กล่าว

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ตนย้ำเสมอว่าจะตัดประเด็นเมื่อมีหลักฐานชัดว่าเป็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ตนไม่เคยพูดว่านี่เรื่องการเมือง เรื่องความขัดแย้งในประเด็น เพียงตั้งสมมุติฐานทุกเรื่อง ถ้าตนจะพูดว่าเขาเดินทางออกต่างประเทศผมต้องมีหลักฐาน มีผลตรวจเช็ค ที่เชื่อได้ว่าเดินทางออกนอกประเทศ หลายกรณีที่ตม.ตรวจพบบุคคลคล้ายผู้ต้องสงสัยเดินทางออกนอกประเทศไปแล้ว เราก็ตรวจสอบ เช่น พบบุคคลเดินทางด้วยเครื่องบินสายการบินแอร์เอเชียไปมาเลเซียเพื่อเดินทางต่อไปออสเตรเลีย เราก็ประสานไปยังประเทศมาเลเซียตรวจสอบ เขาตรวจสอบแล้วพบว่าไม่ใช่ก็ตัดทิ้งเพราะชายคนดังกล่าวสูง 185 ซม.แต่พยานที่เห็นคนร้ายระบุว่าพยานสูง 173 ซม.แต่ขณะยืนคุยคนร้ายเตี้ยกว่า แต่ตนไม่ชี้แจง ไม่บอกสื่อ เราให้ความสำคัญทุกกรณี เสาร์ อาทิตย์ที่ผ่านมาไปดูเกสต์เฮ้าส์ โรงแรมที่ประชาชนชี้เบาะแสมาทั้งในกทม.และต่างจังหวัด เราต้องตรวจสอบให้สุดทาง ผ่านมาประชุมทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น เราทำเต็มที่ขออย่านับว่ากี่วันมาแล้ว กี่วันจะจับได้ แต่ย้ำว่าตราบใดที่มีลมหายใจเราจะตามจับให้ได้ ยังมีลมหายใจก็มั่นใจว่าจับได้ หากตนเกษียณยังจับไม่ได้ก็จะฝากคนอื่นไปจับ

ถามต่อว่าระเบิดที่ท่าน้ำสาทรและราชประสงค์มีความเชื่อมโยงหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าว มีหลายเหตุที่น่าจะเชื่อมโยง เช่น รูปแบบ ความเชื่อมโยงต้องเริ่มต้นจากพยานหลักฐาน ว่าเป็นหลักฐานประเภทเดียวกัน ชนิดเดียวกัน รูปแบบเดียวกัน และก็ต้องโยงไป จากที่เหลือก็เป็นเรื่องหลักฐานที่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นซีซีทีวี คำบอกเล่าคำให้การของพยาน ต้องเอาตรงนั้นมาประกอบ จะไปบอกว่าเกิดจากตรงนี้แล้วไปบอกว่าเชื่อมโยงกัน จะตอบได้ก็ต่อเมื่อหรือชัดเจนว่าเรามีหลักฐาน

“เรื่องที่คิดเอาตนไม่กล้าพูดจริงๆ คิดว่าเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ สาเหตุเรื่องนั้นเรื่องนี้ จนกว่าจะมีพยานหลักฐานชัดเจนว่าเป็นเรื่องนี้ เมื่อถ้าชัดเจนตนก็จะตัดเรื่องนี้ทิ้งนะ เรื่องธุรกิจและความขัดแย้งทิ้งนะ เรื่องลัทธิความเชื่อทิ้งนะ เรื่องศาสนาทิ้งนะ ทุกเรื่องสำคัญหมด บางครั้งผมก็ตอบไม่ได้ เพราะว่าพยานหลักฐานมันจะต้องนำไปสู่การพิสูจน์และตรวจสอบก่อนถึงจะบอกได้” ผบ.ตร.กล่าวและว่า จากการตรวจสอบพบว่า เป็นระเบิดแรงดันสูง ระเบิดซีโฟร์ก็ได้ ระเบิดทีเอ็นทีก็ได้

ถามต่อว่าการตรวจกล้องวงจรปิดที่สาทรมีคนทำมากกว่า 1 คนหรือไม่ ผบ.ตร. กล่าวว่า ก็เห็นเท่าๆกับสื่อมวลชน

เมื่อถามว่าทำไมคนร้ายที่ก่อเหตุที่แยกราชประสงค์ต้องนั่งรถจากสาทร และสับเปลี่ยนรถที่หัวลำโพง เพื่อมาก่อเหตุมีการตั้งข้อสันนิษฐานหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า เป็นทฤษฎีของคนร้าย ที่ต้องการเปลี่ยนจุด เปลี่ยนรถ เปลี่ยนอะไรให้มันวุ่นวายไปหมด อันนี้เป็นแผนประทุษกรรมคนร้าย ใครขี้เกียจก็ไม่ต้องทำมาก คนที่ขยันและมีความเชี่ยวชาญก็สร้างเรื่องจนจับต้นชนปลายไม่ถูก

เมื่อถามว่าตำรวจยังโฟกัสไปยังกลุ่มชาวอาหรับและเติร์กเมนิสถานหรือไม่ พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ก็เห็นหนังสือพิมพ์ลงว่าชายหน้าตี๋ และจะไปบอกว่าชาวอาหรับได้อย่างไรหรือบางสื่อญี่ปุ่นก็เอาไปเขียนว่าเจอเป้ ตนยังไม่เคยเห็นเลย ถ้ามีจริงก็จะให้น้ำหนัก แต่ถ้าไม่มีจริงบางครั้งเราก็มามองหน้ากันในที่ประชุมว่าอยู่ที่ไหน อย่างสื่อต่างชาติบอกว่าได้เก็บชิ้นส่วนมาแล้วก็มามอบให้ตำรวจและจะเอามามอบให้ตน และพอมอบไม่ได้ก็บอกว่าไม่ยอมรับก็งงๆ เวลานำเสนอก็ขาดๆตอนๆ นำเสนอแต่เฉพาะช่วงที่หน่วยงานของรัฐ สำนักงานตำรวจแห่งชาติเสียหาย และพอเอาเวอร์ชั่นเต็มๆมาดูก็ไม่ใช่ เจ้าหน้าที่อีโอดีหรือพิสูจน์หลักฐานไม่ได้ทำงานสะเพร่า เขากวาดเก็บพื้นที่ทั้งหมดทุกชิ้นทุกส่วนและก็ใส่ถุงดำ เขาไม่ได้เอาไปทิ้ง เอาไปแยกที่ละชิ้นๆ

“อย่างวันที่เกิดเหตุผมได้เดินทางไปดู ผมก็ไปเจอสายไฟก็สรุปไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่อีโอดี ตนก็เรียกเจ้าหน้าที่อีโอดีมาถามว่าน่าจะเป็นอะไร เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าไม่ใช่ อันนี้เป็นฟิวส์หลอดไฟที่แตกและตกลงมา เพราะเจ้าหน้าที่เท่านั้นที่จะตอบได้ อย่างสื่อต่างประเทศไปเก็บอะไรมาก็ไม่รู้ เก็บมาแล้วก็มาให้ตำรวจบอกว่าชิ้นส่วน คุณรู้ได้อย่างไรเป็นอีโอดีหรือ หรือคุณเรียนมา เลอะเทอะ หาเรื่อง สื่อประเภทนี้จ้องจะทำลายประเทศไทยอยู่แล้ว ไม่น่าเข้ามาประเทศไทยเลย กลับบ้านไป” พล.ต.อ.สมยศ กล่าว

เมื่อถามว่าเว็บไซท์ จ.ลำพูน ที่มีการถูกแฮ็กและเปลี่ยนหน้าเว็บไซต์พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ได้รับรายงานแล้ว ก็ยังไม่ยืนยันข้อเท็จจริง แต่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้ว ถามต่อว่ายืนยันได้แล้วใช่หรือไม่ ว่ากลุ่มที่ลงมือเป็นมืออาชีพ ผบ.ตร. กล่าวว่า ตนก็ไม่รู้เหมือนกัน ตอบไม่ได้ว่าเป็นมืออาชีพหรือไม่ แต่มันเก่ง

พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า วันนี้เจ้าหน้าที่ตม. ก็ทำงานอย่างเต็มที่ และก็เอารูปคนร้ายหรือผู้ต้องสงสัยไปแปะไว้ทุกที่ ทุกเกสท์เฮ้าส์ ทุกโรงแรม เพื่อให้ประชาชนเป็นหูเป็นตา พบผู้ต้องสงสัยก็รีบรายงานเรา ถึงได้มีการไปตรวจสอบ ทั้งสุวรรณภูมิ กรณีชาวฝรั่งเศสที่เดินทางออกไม่ได้ แม้แต่เราไปตรวจสอบขอความร่วมมือทางมาเลเซียไปตรวจสอบถึงกัวลาลัมเปอร์ พูดง่ายๆเราทำทุกอย่าง อยากให้ทำอะไรก็บอกมาจะทำให้ช่วยกัน ถึงเวลาที่คนไทยต้องลืมความขัดแย้ง ความเห็นต่าง ความไม่ชอบ ต้องคิดถึงประเทศไทยแล้วตอนนี้ ถ้าเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะมาช่วยเรา ไม่มีทางนอกจากคนไทยต้องช่วยกันเอง

เมื่อถามว่าผลการตรวจดีเอ็นเอออกมาหรือยัง พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ยัง จริงๆแล้วธนบัตรใบละ20บาท ไปตรวจก่อนเป็นข่าว 3 วันแล้ว แต่เราไม่ได้บอกเอง ไม่รู้ว่าใครมาเปิดเผยและก็เป็นข่าว ตรวจตั้งแต่วันที่เราเจอตัวคนขับรถมอไซค์ พอเราเจอและได้ตัวมาเขาบอกว่าคนร้ายให้เงินไว้ 40 บาท เป็นแบงก์ยี่สิบ 2 ใบ เจ้าหน้าที่ก็ขอเขามาตั้งแต่วันนั้น
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น