เจ้าหน้าที่สถานทูตมาเลย์ เข้าพบ ผบ.ตร. ขอข้อมูลหนุ่มสวิส อดีตผู้บริหาร บ.น้ำมัน ขายข้อมูลลับให้สื่อมวลชนยุโรป นำไปตัดต่อดิสเครดิตรัฐบาลแดนเสือเหลือง หลังถูกทางการไทยจับกุมตัวได้ฐานส่งอีเมลข่มขู่เรียกเงินบริษัทตัวเองกว่า 90 ล้านบาท เมื่อปลายเดือนก่อน
วันนี้ (16 ก.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เจ้าหน้าที่สถานเอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย และตำรวจ ประสานงานประจำสถานทูตฯ เดินทางเข้าพบ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับคดีที่ นายซาเวีย อังเดร จัสโต อายุ 49 ปี ชาวสวิตเซอร์แลนด์ อดีตผู้บริหารบริษัท ปิโตรซาอุดิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก่อเหตุกรรโชกทรัพย์บริษัท ปิโตรซาอุดิฯ และถูกตำรวจไทยจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา โดยใช้เวลาพูดคุยกันเพียง 10 นาทีเท่านั้น
พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีที่ตำรวจไทยจับกุมนายซาเวีย ซึ่งเป็นพนักงานระดับบริหารของบริษัท ปิโตรซาอุดิฯ ที่เก็บข้อมูลความลับของบริษัท แล้วก่อเหตุข่มขู่บริษัทปิโตรฯ ว่า หากไม่ยอมให้เงินตามที่ร้องขอจะเปิดเผยข้อมูลความลับนั้นต่อบุคคลที่สาม ซึ่งจะสร้างความเสียหายแก่บริษัทอย่างมาก โดยความผิดเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่บริษัทนี้เกี่ยวข้องกับหลายประเทศ การกระทำผิดก็เชื่อมโยงหลายประเทศ ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะส่งผลกระทบกับการเมืองในประเทศเพื่อนบ้าน เนื่องจากข้อมูลที่นายซาเวียส่งให้บุคคลที่สามซึ่งต้องการข้อมูลนี้ เพื่อใช้การในการสร้างความเสียหายทางการเมืองในประเทศเพื่อนบ้านด้วย
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และให้การที่เป็นประโยชน์ จนสามารถขยายผลถึงขบวนการ เพราะมีการส่งข้อมูลให้กัน เมื่อตรวจสอบเอกสารและพยานที่ผู้ต้องหาอ้างอิง ก็พบว่าความเป็นความจริง สอดคล้องกับให้การของผู้ต้องหา จากการขยายผลทำให้ทราบว่ามีการทำกันเป็นขบวนการ ซึ่งก็พบว่ามีผู้เกี่ยวข้องทั้งสื่อมวลชนยักษ์ใหญ่ มีความโยงใยกับนักการเมืองใหญ่ในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีการติดต่อกันทั้งทางอีเมล โซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยสื่อมวลชนได้ใช้ข้อมูลที่นายซาเวียขายให้โจมตีรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน มีการดัดแปลงตัดต่อข้อมูล เพื่อเป็นการให้ร้ายรัฐบาลของประเทศเพื่อนบ้าน และนำข้อมูลเหล่านี้ไปเผยแพร่กับสื่อมวลชนในทวีปยุโรป เพื่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐบาลมาเลเซีย
“ขบวนการนี้มีการนัดพบกันทั้งในประเทศไทยและสิงคโปร์ ที่สำคัญ ในการซื้อขายข้อมูล จะมีการจ่ายเงินในรูปแบบวิธีการของการฟอกเงิน โดยความผิดตรงนี้เกิดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะความเสียหายเกี่ยวพันกับหลายประเทศ จึงไม่สามารถเปิดเผยชื่อบุคคลและประเทศที่เกี่ยวข้องได้” โฆษก ตร.ระบุ
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่เกิดขึ้นเป็นการต้องการดิสเครดิตนายนาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย หรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า จากข้อมูลมันเป็นอย่างนั้น แต่ตนไม่ได้พูดถึงขนาดนั้น เอาเป็นว่าเป็นการดิสเครดิตรัฐบาลของประเทศหนึ่ง ซึ่งข้อมูลที่ได้ไปเป็นความคาดหวังของผู้ซื้อว่าจะเป็นข้อมูลลับเกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารที่เป็นจุดอ่อน และสามารถดิสเครดิตรัฐบาลของประเทศนั้นได้ แต่เมื่อซื้อไปแล้วกลับไม่มีข้อมูลที่ใช้ในการดิสเครดิตได้ จึงมีการตัดต่อข้อมูล ซึ่งเรามีร่องรอยการตัดข้อมูลตรงนี้
เมื่อถามว่า ทางรัฐบาลมาเลเซียประสานให้ทางการไทยดำเนินการอย่างไร พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ที่ตำรวจมาเลเซียมาพบในวันนี้ เพื่อขอข้อมูลที่เราตรวจพบ แต่เราแจ้งไปว่าไม่สามารถให้ข้อมูลตรงนี้ไปได้ เพราะเป็นหลักฐานในสำนวนการสอบสวน หากต้องการหลักฐานจะต้องดำเนินการผ่านกระบวนการทางการทูต จะต้องประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งตำรวจก็จะพิจารณาว่าข้อมูลส่วนใดที่จะสามารถส่งให้ได้
เมื่อถามว่า ทางการมาเลเซียต้องการให้ส่งตัวนายซาเวียให้ หรือไม่ พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวว่า ไม่มีการขอให้ส่งตัวนายซาเวีย เพราะเป็นการดำเนินคดีที่พบการกระทำผิดเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยขณะนี้นายซาเวียถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ อยู่ระหว่างการฝากขังเพื่อส่งฟ้องคดีต่อศาล โดยการกระทำผิดฐานกรรโชกทรัพย์ของนายซาเวียเกิดขึ้นในประเทศไทย ส่วนความผิดฐานฟอกเงินและตัดต่อข้อมูลแล้วเอาไปโจมตีเกิดขี้นในประเทศอื่น ทั้งนี้ สำหรับข้อมูลที่นายซาเวีย ขโมยไปนั้นเป็นข้อมูลเกี่ยวกับอีเมลติดต่อลูกค้าของบริษัท ปิโตรซาอุดิฯ นับแสนอีเมล
อนึ่ง ตำรวจคอมมานโด กองบังคับการปราบปราม บก.ป. สามารถจับกุม นายซาเวีย อังเดร จัสโต ได้ที่เกาะสมุย เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา ตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์จากทางบริษัท ปิโตรซาอุดิ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นเงินกว่า 2.5 ล้านฟรังก์สวิส หรือประมาณ 90 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยข้อมูลลับของทางบริษัท ซึ่งได้โจรกรรมมา และเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม ที่ผ่านมา พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. เปิดเผยว่า ผู้ต้องหารายนี้ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และอยู่ในอำนาจของศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้ พนักงานสอบสวนได้สอบสวนดำเนินคดีไปแล้ว ผู้ต้องหาให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าเป็นผู้เขียนจดหมายส่งอีเมลจริง แต่ไม่ได้ข่มขู่กรรโชกทรัพย์จากบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังมีเจ้าหน้าที่จากประเทศอังกฤษประสานงานมาเพื่อเข้าร่วมการสวบสวนด้วยแล้ว