รองผู้บังคับการปราบปรามเผยหนุ่มสวิสผู้ต้องหาส่งอีเมลขู่เรียกเงิน 90 ล้านจากบริษัทที่ตัวเองเคยบริหาร ยังถูกควบคุมตัวอยู่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เตรียมดำเนินคดีชั้นศาล ระบุเคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันในอังกฤษ และมาเลเซียมา ล่าสุดทางการผู้ดีประสานเข้าร่วมการสอบสวนแล้ว
จากกรณีที่ตำรวจคอมมานโด กองบังคับการปราบปราม บก.ป.เข้าจับกุม นายซาร์เวีย อังเดร จัสโต้ สัญชาติสวิส อดีตผู้บริหารบริษัท ปิโตรซาอุดิอินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ข้อหาพยายามกรรโชกทรัพย์จากทางบริษัทดังกล่าว เป็นเงินกว่า 2.5 ล้านฟรังก์สวิส หรือประมาณ 90 ล้านบาท เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยข้อมูลลับของทางบริษัทซึ่งได้โจรกรรมมา นั้น ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป.เปิดเผยว่า สำหรับผู้ต้องหารายนี้ยังคงถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยอยู่ในอำนาจของศาลอาญากรุงเทพใต้ ซึ่งก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวนได้สอบสวนดำเนินคดีไปแล้ว ผู้ต้องหาให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าเป็นผู้เขียนจดหมายส่งอีเมลจริง แต่ไม่ได้ข่มขู่กรรโชกทรัพย์จากบริษัทดังกล่าวแต่อย่างใด
ทั้งนี้ ทางตำรวจมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าสามารถเอาผิดต่อผู้ต้องหาได้ ขณะเดียวกันยังคงต้องรอข้อมูลประกอบจากทางกองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ซึ่งยังอยู่ระหว่างรวบรวมและเชื่อมโยงว่ายังมีผู้ใดเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอีกหรือไม่
พ.ต.อ.กรไชยเปิดเผยอีกว่า นอกจากนี้จากการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหารายนี้ ยังพบว่าก่อนหน้านี้เคยก่อเหตุลักษณะเดียวกันมาหลายครั้งที่ประเทศอังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ มาเลเซีย ฯลฯ โดยขณะนี้ทางการอังกฤษได้ติดต่อประสานงานมาเพื่อขอเข้าร่วมการสอบสวนผู้ต้องหา ซึ่งมีการดำเนินการจนมีการสอบปากคำผู้ต้องหาเพิ่มเติมที่เรือนจำไว้แล้ว แต่ยังไม่มีเจ้าหน้าที่จากประเทศอื่นๆ ประสานเข้ามาเพื่อสอบปากคำผู้ต้องหา โดยเฉพาะประเทศมาเลเซียที่ก่อนหน้านี้เคยสอบถามถึงกรณีการจับกุมผู้ต้องหารายนี้
ผบก.ป.เปิดเผยด้วยว่า อย่างไรก็ดี การประสานมาจะดำเนินการผ่านกระทรวงการต่างประเทศ และส่งเรื่องมายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนจะมีคำสั่งมาถึง บก.ป.อีกครั้ง แต่ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีคำสั่งมา สำหรับขั้นตอนการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหา หลังจากนี้ก็จะเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาล ส่วนภายหลังประเทศต่างๆ ที่ผู้ต้องหากระทำความผิดจะขอให้ส่งตัวไปดำเนินคดีนั้นก็สามารถดำเนินการผ่านขั้นตอนทางกฎหมายที่มีต่อกันระหว่างประเทศเหล่านั้นกับประเทศไทย
