xs
xsm
sm
md
lg

ฝากขัง-ค้านประกัน “กิตติศักดิ์ มัทธุจัด” แก๊งลักเงิน สจล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายกิตติศักดิ์ หรือเป้ มัทธุจัด อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคนสำคัญคดีลักเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง  (แฟ้มภาพ)
ตำรวจฝากขัง “กิตติศักดิ์ มัทธุจัด” ผู้ต้องหาคดีลักเงินเทคโนฯลาดกระบัง พร้อมค้านประกัน เกรงจะหลบหนี ศาลพิจารณาแล้วอนุญาต และ จนท.ราชทัณฑ์ได้คุมตัวเข้าเรือนจำพิเศษมีนบุรี

ที่ศาลจังหวัดมีนบุรี ถ.สีหบุรานุกิจ เมื่อเวลา 11.00 น. วันนี้ (23 พ.ค.) ร.ต.ท.โอภาส บำรุงถิ่น พนักงานสอบสวน กก.1.บก.ป. ได้คุมตัว นายกิตติศักดิ์ หรือ เป้ มัทธุจัด อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาคนสำคัญคดีลักเงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง หรือ สจล. จำนวน 1,600 ล้านบาท เมื่อระหว่างปี 2555 - 2556 ตามหมายจับของศาลอาญาเลขที่ 2363/ 2557 ลงวันที่ 26 ธ.ค. 2557 ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์, ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ให้การสนับสนุนเจ้าพนักงานของรัฐในการกระทำผิดฐานลักทรัพย์มายื่นคำร้องฝากขังต่อศาลครั้งแรกเป็น 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. - 3 มิ.ย. นี้ เนื่องจากยังต้องสอบปากคำพยานอีกหลายปาก รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหา และอื่นๆ ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากคดีนี้มีมูลค่าความเสียหายสูง มีผู้ต้องหาร่วมกระทำผิดหลายคน พยานเอกสารจำนวนมาก เกรงว่า หากปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาจะหลบหนี และเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน

ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้านจึงอนุญาตให้ฝากขังได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ไม่มีญาติ หรือทนายความของนายกิตติศักดิ์ นำหลักทรัพย์มายื่นขอปล่อยชั่วคราวนายกิตติศักดิ์แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวนายกิตติศักดิ์ไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษมีนบุรีต่อไป

สำหรับคดีนี้เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2558 พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 11 (มีนบุรี) ได้เป็นโจทก์ฟ้องคดีหมายเลขดำ อ.1992/2558 โดยมี นายถวิล พึ่งมา อายุ 61 ปี อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์, น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี อดีตผู้อำนวยการส่วนการคลัง สจล. กับพวกรวม 11 คน ร่วมกันเป็นจำเลยในความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม, เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, ร่วมกันฟอกเงิน, สนับสนุนพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือของผู้อื่นโดยทุจริต, สนับสนุนพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 264, 265, 266, 268, 335, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8, 11 และพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 7, 10 และ 60

ทั้งนี้ ศาลจังหวัดมีนบุรีได้นัดพร้อมคู่ความทั้งสองฝ่ายในวันที่ 22 มิ.ย. นี้ เวลา 09.00 น.

ด้านพนักงานสอบสวนกองปราบปราม เปิดเผยว่า หลังจากสอบปากคำนายกิตติศักดิ์ เมื่อคืนที่ผ่านมา ผู้ต้องหาให้การปฏิเสธในหลายเรื่อง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ต้องหาที่ร่วมกัน โดยยืนยันว่า ไม่เคยรู้จักกับ ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล., นายศรุต ราชบุรี และ ผศ.ดร.สรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สจล. รวมทั้ง น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ แต่ยอมรับว่ารู้จักกับนายทรงกลด ศรีประสงค์ นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ นายภาดา บัวขาว เพราะเคยเรียนด้วยกันมา ส่วนเงินที่มีการโอนเข้าบัญชีครั้ง 100 - 200 จนถึง 500 ล้านบาท นั้น เป็นการกู้ยืมเงินมาจากนายทรงกลด ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา เพื่อเอามาลงทุนทำธุรกิจ โดยไม่มีการทำสัญญากู้ยืมหรือมีการค้ำประกัน

สำหรับเงินที่ นายกิตติศักดิ์ โอนเข้าบัญชีให้บุคคลอื่น เช่น นายภาดา น.ส.จันทร์จิรา นั้น เป็นเพราะเสียการพนันฟุตบอล ซึ่งคำให้การเหล่านี้เป็นไปตามการคาดหมายของพนักงานสอบสวนอยู่แล้วว่า นายกิตติศักดิ์ จะให้การในรูปแบบนี้ เพราะน่าจะมีการเตรียมตัวมาดี แต่ทั้งนี้ ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนมีข้อมูลหลักฐาน รวมทั้งสอบปากคำผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้ไว้หมดแล้ว

พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า นายกิตติศักดิ์ ให้การว่าไม่รู้จักกับกลุ่มผู้บริหารของ สจล. รวมทั้งไม่รู้ด้วยว่า “บอส” ที่พูดกันมานั้นเป็นใคร ส่วนเงินที่ได้มานั้นเป็นการกู้ยืมมาจากนายทรงกลด เพียงคนเดียว เพื่อนำมาลงทุนและเล่นการพนันฟุตบอล สำหรับรถลัมบอร์กีนี ที่ขายให้ บอย ปกรณ์ นั้น ส่วนตัวไม่เคยรู้จักกับ บอย ปกรณ์ แต่อย่างไร โดยมี นายภาดา เป็นคนติดต่อนำรถไปขายให้ เนื่องจากร้อนเงิน เพราะเป็นหนี้พนัน ส่วนที่ขายในราคาถูกนั้น เพราะซื้อมาไม่ผ่านนายหน้า หรือ ดีลเลอร์ เลยสามารถขายได้ในราคานั้น สำหรับตัว ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. นั้น ก็คงจะต้องมีความผิดแน่นอน เพราะเป็นคนเซ็นชื่อในการเบิกจ่ายเงินของ สจล. รวมทั้งเป็นผู้ที่เปิดบัญชีธนาคารที่มีปัญหาด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น