xs
xsm
sm
md
lg

แฉแก๊งโจรลักเงิน สจล. เหลี่ยมจัด "กิตติศักดิ์" ชิงเข้ามอบตัวปิดคดี หวังตัดตอน "บิ๊กบอส" คนบงการ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาคนสำคัญคดีโกงเงินพันล้าน สจล. ที่ตำรวจเพิ่งรวบตัวได้เมื่อเช้าวันนี้ (22 พ.ค.)
ASTVผู้จัดการ – จับตาคดีโคตรโกง 1.6 พันล้าน สจล. เชื่อ “กิตติศักดิ์ มัทธุจัด” ผู้ต้องหาคนสำคัญเตรียมตัวมาอย่างดีก่อนตัดสินใจบินจากอังกฤษมอบตัวตำรวจไทย ระทึกพิสูจน์ลายเซ็นเช็คถ้าพบเป็น “ของจริง”ธนาคารไทยพาณิชย์เฮไม่ต้องจ่าย ต้องเค้นสอบความสัมพันธ์ลึกซึ้ง เชื่อขบวนการ “เกย์” รวมหัว “โกง”

เป็นเวลาเกือบ 5 เดือนหลังแก๊งยักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ถูกตำรวจกองปราบปรามทลายยกก๊วนโดยมีผู้ต้องหาในระดับต่างๆ มากถึง 11 คนประกอบด้วย

นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีต ผจก.ธนาคารศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซีศรีนครินทร์ และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้างบิ๊กซีสุวินทวงศ์ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อดีต ผอ.ส่วนการคลัง สจล.นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ นางสมบัติ โสประดิษฐ์ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ นางระดม มัทธุจัด นายภาดา หรือ โอ๊ต บัวขาว นายศรุต ราชบุรี นายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตรองอธิบดีฝ่ายการคลัง สจล. และนายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล.

เหลือเพียงคนเดียวคือนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสำคัญที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศและทางการได้ออกหมายจับประสานกับตำรวจสากล

ต่อมามีการติดต่อขอมอบตัวกระทั่งเช้าวันที่ 22 พ.ค.นายกิตติศักดิ์ เดินทางจากอังกฤษมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร.และโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ส่วนหนึ่งเข้าล็อกตัวพร้อมแจ้งสื่อมวลชนเตรียมจัดแถลงข่าวช่วงเที่ยงวันเดียวกัน

คดีโคตรโกงอันมีมูลค่าความเสียหายถึง 1.6 พันล้านบาทนี้กำลังเดินมาถึงจุดไคลแม็กซ์อีกครั้งหนึ่งเพราะนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด นับเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญเนื่องจากแนวทางการสอบสวนของเจ้าหน้าที่พบว่าบุคคลที่หอบเงินไปซุก หรือกระจายไปยังขบวนการก็คือนายกิตติศักดิ์ ซึ่งในประเด็นนี้หากผู้ต้องหายอมเปิดปากก็จะสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์ต่างๆ ในกลุ่มได้ทั้งหมด

อย่างไรก็ตามจากข้อมูลล่าสุดของโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวระหว่างการควบคุมตัวนายกิตติศักดิ์ ว่าจากการพูดคุยกับผู้ต้องหานายกิตติศักดิ์ อ้างว่าส่วนตัวไม่เคยรู้จักกับนายถวิล พึ่งมา อดีตอธิบการบดี สจล.แต่รับว่ารู้จักกับนายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีต ผจก.ธนาคารฯและได้แนะนำให้รู้จักกับ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อดีต ผอ.ส่วนการคลัง สจล.อีกทีหนึ่งนายกิตติศักดิ์ ยังบอกด้วยว่าเงินต่างๆ ที่ได้มานั้นนายทรงกลด อ้างว่ามีเงินจำนวนมากให้นำไปลงทุนเขาเองก็ไม่ทราบว่าเป็นเงินของสถาบันฯและได้นำไปทำธุรกิจพนันบอลต่างประเทศ

พล.ต.ท.ประวุฒิ กล่าวอีกว่านายกิตติศักดิ์ น่าจะเป็นผู้ต้องหารายสุดท้ายแล้วและไม่น่าจะมีผู้บงการใหญ่กว่านี้อีกเนื่องจากการสืบสวนของตำรวจไม่พบเงินเข้าบัญชีบุคคลอื่นแม้แต่เรื่อง “บิ๊กบอส” ที่ยังคาใจกันอยู่นายกิตติศักดิ์ ยังยืนยันว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิด

จากข้อมูลนี้เองแนวโน้มของคดีโคตรโกง สจล.จึงอาจไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้อีกเพราะ “บิ๊กบอส” ที่อยู่เบื้องหลังตามความเชื่อแต่แรกนั้นทำท่าจะมาหยุดที่นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล.แต่เพียงคนเดียว ไม่มี “บิ๊กบอส”ในฝั่งธนาคาร หรือสถาบันการเงินที่สังคมสงสัยอีกต่อไป

แต่โฟกัสกลับย้อนมาที่นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีต ผจก.ธนาคารฯอีกครั้งเนื่องจากนายกิตติศักดิ์ ยอมรับว่ารู้จักกับผู้ต้องหารายนี้และพามาให้รู้จักกับ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อดีต ผอ.ส่วนการคลัง สจล.ก่อนเกิดคดีขึ้น กลายเป็นคำซัดทอดที่พุ่งไปยังผู้ต้องหาระดับกลางและระดับล่างไม่ว่าจะเป็นนายทรงกลด ผู้ต้องหาคนแรกอันเป็นตัวเปิดคดีรวมทั้งผู้ต้องหารายอื่นๆที่มีส่วนเข้าไปรู้เห็นแต่สำหรับระดับบนแล้วช่องทางการต่อสู้คดีกลับมีความสดใสมากขึ้น

การติดต่อเข้ามอบตัวของนายกิตติศักดิ์ อย่างไม่มีข่าวระแคะระคายนั้นแม้อาจจะมองทางหนึ่งว่าเกิดจากแรงกดดันจากตำรวจไทยที่ประสานไปยังตำรวจสากลจนทำให้ผู้ต้องหาต้องเลือกช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่งเชื่อว่านายกิตติศักดิ์ จะต้องเตรียมตัวมาอย่างดี ศึกษารูปการคดีมาอย่างรอบคอบ เมื่อพบช่องทางการต่อสู้จึงติดต่อผ่านมายังผู้หลักผู้ใหญ่และประสานไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าทันทีที่ผู้ต้องหารายนี้เหยียบสนามบินสุวรรณภูมิ ทิศทางของคดีก็เป็นไปตามคาดคือ

ไม่มีบิ๊กบอส ไม่มีใครที่เกี่ยวข้องอีกและความผิดต่างๆ เริ่มพันกันในกลุ่มผู้ต้องหาระดับกลางและระดับล่าง

อย่างไรก็ตามจังหวะนี้ยังต้องหวังว่าเป็นนาทีทองของพนักงานสอบสวนไม่มากก็น้อยเนื่องจากกลุ่มผู้ต้องหาทุกคนล้วนมีสถานภาพ และยอดสุดคือนายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล.แต่สำหรับนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด เขาคือใครกันแน่ ข้อมูลเก่าที่ระบุว่าเป็นนักธุรกิจในแวดวงบันเทิง หรืออื่นๆ คงต้องเค้นประวัติความเป็นมาให้ชัดเจนโดยเฉพาะรสนิยมทางเพศอันเป็นที่ทราบดีว่าขบวนการโคตรโกง สจล.ล้วนเป็นพวกเก้งกวาง สายสัมพันธ์ต่างๆ ที่นายกิตติศักดิ์ มีกับนายทรงกลด และนายภาดา หรือโอ๊ต ภาดา ลึกซึ้งขนาดไหน ยังรวมไปถึง “บิ๊กเกย์” ซึ่งอยู่ขบวนการนี้

และด้วยมูลค่าความเสียหายจำนวนมากถึง 1.6 พันล้านบาท คดีโคตรโกง สจล.จึงต้องลุ้นระทึกถึงผลการตรวจสอบเอกสารต่างๆ ที่พนักงานสอบสวนได้ตรวจยึดไว้โดยเฉพาะเช็คแต่ละฉบับที่มีลายเซ็นของผู้บริหาร สจล.ในขณะนั้นว่าเป็นลายเซ็นจริง หรือลายเซ็นปลอม ประเด็นนี้ฝ่ายที่จ้องกันอย่างไม่กะพริบตาก็คือธนาคารไทยพาณิชย์ ในฐานะผู้ให้บริการและประกาศความรับผิดชอบพร้อมเยียวยา สจล.ด้วยมูลค่าเสียหายเต็ม แต่มีข้อแม้ว่าลายเซ็นในเช็คแต่ละใบที่สั่งจ่ายผ่านธนาคารไทยพาณิชย์ จะต้องเป็นลายเซ็นปลอมเท่านั้นซึ่งถือว่าเป็นความบกพร่องของธนาคารฯ ตรงข้ามหากเป็นลายเซ็นจริงธนาคารไทยพาณิชย์ไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบใดๆเนื่องจากได้ปฏิบัติตามกฏระเบียบต่างๆของธนาคารอย่างถูกต้อง

การเข้ามอบตัวของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหารายสุดท้ายจึงปลุกคดี สจล.ให้กลับมาสู่ความสนใจอีกครั้ง การช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบแม้แต่กลุ่มผู้ต้องหาเองยังต้องงัดข้อกฎหมายออกมาสู้กันอย่างเต็มที่และนั่นคือเรื่องปกติของทุกคดีที่มีผู้เกี่ยวข้องจำนวนมากเพราะแต่ละคนต้องการอิสรภาพ หรือที่สุดแล้วก็ขอให้ได้รับโทษน้อยที่สุดแต่สำหรับคดีโคตรโกง สจล.ยังมีหน่วยงานสำคัญตกเป็นผู้เสียหายพร้อมกัน 2 องค์กร นั่นคือสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) และธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งตกปากรับคำแล้วว่าจะชดใช้เงินทั้งหมดหากพบว่าธนาคารฯเป็นฝ่ายบกพร่อง

จังหวะนี้มือกฎหมายระดับสำคัญของธนาคารไทยพาณิชย์ และ สจล.ต่างเคลื่อนไหว เฝ้าดูอย่างใก้ลชิด และเชื่อได้ว่าในส่วนของพนักงานสอบสวนซึ่งก่อนหน้ามีข่าวทำนองมี “ธง”อยู่แล้วก็คงเป็นเพียงข้อสังเกตเพราะในความเป็นจริง คดีโคตรโกง สจล.เรื่องมาแดงขึ้นในยุคสังคมไทยตื่นตัวต่อปัญหาคอร์รัปชัน อีกทั้งยังเป็นคดีที่ประชาชนทั่วไปและที่เกี่ยวข้องในแวดวงธนาคาร หรือแม้แต่ศิษย์เก่า สจล.ให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง ปัญหาที่ห่วงใยหรือเป็นกังวลจึงไม่น่าเกิดขึ้น เว้นแต่ช่องทางของกฎหมาย หรือรายละเอียดต่างๆที่ฝ่ายผู้ต้องหาเตรียมงัดมาสู้ในชั้นศาล

ภาระหน้าที่นี้จึงตกอยู่ที่พนักงานสอบสวน กองปราบปรามซึ่งต้องทุ่มสรรพกำลังความสามารถปิดรูรั่วทั้งหมดเพื่อให้คนผิดชดใช้กรรมที่ก่อขึ้น


นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีต ผจก.ธนาคารศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซีศรีนครินทร์ และธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาห้างบิ๊กซีสุวินทวงศ์ (แฟ้มภาพ)
กำลังโหลดความคิดเห็น