ASTV ผู้จัดการ - ป.ป.ส.เปิดยุทธการ “ขยายผลตัดวงจรการเงินเครือข่ายยาเสพติด” หวังตัดวงจรการเงิน ทำลายเครือข่ายยานรก 8 กลุ่ม เป้าหมาย 42 ราย พร้อมปูพรมตรวจค้นพื้นที่ 44 แห่งใน 17 จังหวัด ยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายนักค้ารวมมูลกว่า 77 ล้าน
เวลา 11.00 น. วันนี้ (6 พ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) นายเพิ่มพงษ์ เชาวลิต เลขาธิการ ป.ป.ส. พร้อมด้วย พ.ต.ท. สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 3 กรมสอบสวนคดีพิเศษ และ ร.อ.สมพงษ์ สุขสงวน ผู้แทนกองบัญชาการกองทัพไทย ร่วมแถลงเปิดยุทธการ “ขยายผลตัดวงจรการเงินเครือข่ายยาเสพติด ครั้งที่ 1” (6-9 พ.ค. 2558) โดยกำหนดดำเนินการ 4 วัน มุ่งตัดวงจรการเงินเพื่อทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติดรายสำคัญ 8 เครือข่าย เป้าหมายบุคคลรวม 42 ราย พร้อมดำเนินการตรวจค้นที่ 44 พื้นที่ ใน 17 จังหวัด เพื่อยึดอายัดทรัพย์สินเครือข่ายนักค้า ยาเสพติด รวมมูลค่าประมาณ 77 ล้านบาท
นายเพิ่มพงษ์กล่าวว่า โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการได้กระจายกำลังลงพื้นที่เป้าหมายดำเนินการพร้อมกัน 3 เครือข่าย เป้าหมายบุคคลรวม 10 เป้าหมายพื้นที่ 19 พื้นที่ ใน 6 จังหวัด ได้แก่ พื้นที่กรุงเทพมหานคร (8) อ่างทอง (2) นครปฐม (2) ราชบุรี (2) กาญจนบุรี (3) และหนองบัวลำภู (2) จับผู้ต้องหาได้ 4 คน ยึดทรัพย์มูลค่าประมาณ 61.4 ล้านบาท ซึ่งสามารถจับกุมเครือข่าย น.ช.ศักดา เลิศรัศมิทัศน หรือตี๋ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 21 ม.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สำโรงเหนือ จับกุมนายยุทธนา ทัพชู หรือแบงค์ พร้อมยาบ้า 3,600 เม็ด โดยผู้ต้องหาให้การว่าตนสั่งซื้อยาบ้าจาก น.ส.เบญจพร ศรีสุทัศน์ หรือเจ๊มด ภรรยาของ น.ช.ศักดา ผู้ต้องขังคดียาเสพติดในเรือนจำกลางเขาบิน ซึ่งถูกจับกุมตามหมายจับในคดียาเสพติด เมื่อวันที่ 16 ก.ค.55
โดยเมื่อเวลา 06.00 น.ของวันนี้ เจ้าหน้าที่ได้สนธิกำลังกันกว่า 100 นาย เข้าปฏิบัติการตรวจค้น 6 เป้าหมายบุคคลใน 8 พื้นที่ปฏิบัติการ โดยได้นำเจ้าหน้าที่ชุดแรกได้เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 40 ซอยนาคนิวาส 12 ถนนนาคนิวาส แขวงลาดพร้าว เขตลาดพร้าว กทม. พร้อมจับกุม น.ส.เบญจพร หรือ “เจ๊มด” ผู้ต้องหาเป้าหมายสำคัญ พร้อมตรวจยึดอายัดล้านพร้อมที่ดิน เงินสดกว่า 6 ล้าน 5 แสนบาท สร้อยคอทองคำ นาฬิกาโรเล็กซ์ โทรศัพท์มือถือและไอแพดอีกหลายเครื่อง รถยนต์ 1 คัน บัญชีธนาคารและบัตรเครดิต ใบสั่งจองรถเบนซ์ อี 200 คูเป้ มูลค่ากว่า 3 ล้าน 7 แสนบาท รวมมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาท ซึ่งจากการสอบสวนทราบว่า ขณะนี้ น.ช.ศักดา ไม่ได้เคลื่อนไหวเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว มีเพียงน.ส.เบญจพร และญาติๆ ที่ยังทำการลักลอบจำหน่ายยาเสพติดอยู่ และในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดอื่นได้เข้าตรวจค้นบุคคลในเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอีก 5 จุดในพื้นที่ กทม. และหนองบัวลำภู สามารถ ยึด/อายัดบ้าน ที่ดิน ยานพาหนะ ทองรูปพรรณ บัญชีธนาคาร เงินสด 9.97 ล้านบาท รวมยึดอายัดทรัพย์สินได้กว่า 43.05 ล้านบาท
นายเพิ่มพงษ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเครือข่ายที่ 2 เป็นเครือข่าย น.ช. สมชาย หลาบเจริญ หรือโก๊ะ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 16-17 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.พระนครศรีอยุธยา จับกุมนายสามารถ แจ่มกระจ่าง พร้อมขยายผลจับกุมนางสมพิศ แตงอ่อน พร้อมของกลางยาบ้า 38,000 เม็ด ไอซ์ 850 กรัม สอบสวนผู้ต้องหาให้การว่าทำหน้าที่เก็บพักและจำหน่ายยาเสพติดให้กับ น.ช. สมชาย ผู้ต้องขังเรือนจำกลางอยุธยา ซึ่งถูกจับกุมในคดียาเสพติดเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 47 โดยมีนางสาหร่าย ดีพลา มารดา น.ช.สมชาย และนางวันเพ็ญ ดีพลา เป็นผู้ร่วมงานและดำเนินการเรื่องการเงินภายนอกเรือนจำ โดยวันนี้เมื่อเวลาประมาณ 06.00 น. เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 53 ม.4 ต.คลองวัว อ.เมืองอ่างทอง จ.อ่างทอง เข้าจับกุมนางสาหร่าย ดีพลา และตรวจค้นบ้านเลขที่ 3/2 ม.4 ต.คลองวัว อ.เมืองอ่างทอง จ.อ่างทอง จับกุมนางวันเพ็ญ ดีพลา และในขณะเดียวกันได้จับกุมนางสาวดุจดาว พิสูตร หรือ พิชญาฎา เอกวัฒนาพิพัฒน์ ขณะเดินทางไปเยี่ยมสามีที่เรือนจำกลางคลองไผ่ ทั้ง 3 เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 3 ใน 4 ราย และในขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ชุดอื่นได้เข้าตรวจค้น ยึดอายัด ทรัพย์ผู้ต้องหาที่อยู่ในหมายจับอีก 1 ราย ในพื้นที่ จ.กาญจนบุรีและจ.นครปฐม จำนวน 6 จุด สามารถอายัดที่ดิน 25 ไร่ รถจักรยานยนต์ 1 คัน บัญชีธนาคาร 11 บัญชี เงินสด 70,000 บาท ทองรูปพรรณ 2 รายการ วัวพันธุ์ 6 ตัว รวมยึดอายัดทรัพย์สินได้กว่า 17.85 ล้านบาท
ทั้งนี้สำหรับเครือข่ายที่ 3 เครือข่าย น.ช.โสรส พงษ์ศักดิ์ขจร สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 23 ก.ย. 56 เรือนจำกลางเขาบิน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภ.จว.ราชบุรี จับกุม น.ส.หนึ่งฤทัย นวมอารีย์ ภรรยา นช.โสรส พร้อมของกลางไอซ์ 650 กรัม ขณะลักลอบนำเข้าไปในเรือนจำกลางเขาบิน โดย นช.โสรส ผู้ต้องขังคดียาเสพติดในเรือนจำกลางเขาบิน ถูกจับกุมในคดียาเสพติดเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 49 และขณะอยู่ในเรือนจำก็ยังมีพฤติการณ์สั่งยาเสพติดโดยให้ญาติและผู้ใกล้ชิดลักลอบนำเข้ามาให้จนถูกจับกุมได้ในที่สุด ในครั้งนั้นได้ยึดอายัดทรัพย์สินไปแล้วหลายรายการ
จากนั้น สำนักงาน ป.ป.ส.ได้ดำเนินการสืบสวนติดตามเพิ่มเติมเรื่อยมาจนทราบว่ายังมีทรัพย์สินที่ได้จากการค้ายาเสพติดหลงเหลืออยู่ ดังนั้นวันนี้เมื่อเวลา 06.00 น.เจ้าหน้าที่จากสำนักงาน ป.ป.ส. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวม 40 นายเข้าปฏิบัติการใน 1 พื้นที่ปฏิบัติการ โดยเข้าตรวจค้นและยึดอายัดทรัพย์สิน ได้แก่ ที่ดินของ น.ญ.หนึ่งฤทัย จำนวน 2 แปลง ในพื้นที่ จ.ราชบุรี และ จ.กาญจนบุรี มูลค่าประมาณ 500,000 บาท
นายเพิ่มพงษ์กล่าวอีกว่า ยุทธการ “ขยายผลตัดวงจรการเงินเครือข่ายยาเสพติด ครั้งที่ 1” นี้ เป็นความร่วมมือและบูรณาการการทำงานร่วมกันของ 7 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปราม ยาเสพติด ได้แก่ สำนักงาน ป.ป.ส. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการกองทัพไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กรมการปกครอง และสำนักงานปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกา (Drug Enforcement Administration : DEA) ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก โดยมุ่งเป้าหมายที่ดำเนินการตามกฎหมายตามหลักฐานที่มี ซึ่งจะยึดทรัพย์จับบุคคลที่เกี่ยวข้อง เพื่อทำลายเครือข่ายและโครงสร้างการค้ายาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ภาคต่างๆ ที่ยังคงมีความเคลื่อนไหวและการจัดหายาเสพติดจากกลุ่มผู้จำหน่ายในพื้นที่ชายแดนลักลอบลำเลียงนำมาเก็บพักในพื้นที่ตอนในและกระจายยาเสพติดไปทั่วทุกพื้นที่ภาค โดยการใช้อำนาจของกฎหมายตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 (มาตรการสมคบ และอายัดทรัพย์สิน) รวมไปถึงมาตรการตามกฎหมายฟอกเงิน โดยผู้ที่เป็นนายทุน ผู้สั่งการหรือผู้อยู่เบื้องหลังที่รับผลประโยชน์จากการค้ายาเสพติดไม่ว่าจะโดยการครอบครองทรัพย์สินต่างๆ ทั้งในชื่อตนเองหรือของบุคคลอื่น รวมไปถึงกระทำการฟอกเงินในลักษณะใดๆ โดยใช้มาตรการริบทรัพย์เป็นสำคัญ เพื่อลิดรอนหรือตัดวงจรทางการเงินของเครือข่ายการค้ายาเสพติดโดยในช่วง 4 วันนี้จะดำเนินการต่อเนื่องเพื่อทำลาย 8 เครือข่ายสำคัญ รวมเป้าหมายบุคคล 42 ราย และแจ้งข้อหาเพิ่มเติมกับผู้ต้องขังในเรือนจำกลางเขาบิน และเรือนจำกลางพระนครศรีอยุธยาด้วย
เบื้องต้นทางเจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการตรวจสอบเกี่ยวกับการฟอกเงิน โดยซื้อที่ดินแล้วใช้ชื่อบุคคลอื่นในการครอบครอง รวมทั้งการจ้างให้บุคคลอื่นเปิดบัญชีธนาคารให้ และคาดว่าจะดำเนินการยึดอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องได้ประมาณ 77 ล้านบาท ซึ่งจะสรุปผลรวมของยุทธการนี้อีกครั้งในวันที่ 9 พ.ค.นี้ อย่างไรก็ตาม ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมได้ในที่เกิดเหตุ เป็นการจับตามอนุมัติของเลขาธิการ ป.ป.ส. ในข้อหา “สมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มีโทษเท่ากับตัวการโดยในคดีนี้มีระวางโทษสูงสุดประหารชีวิต”