จากการที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมอบหมายให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ทั่วประเทศเพื่อชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายค้างาช้างฉบับใหม่ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม ที่ผ่านมา โดยพระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. 2558 มีผลใช้บังคับทั้งผู้ประกอบการที่จดทะเบียนพาณิชย์แล้วและยังไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ซึ่งต้องขออนุญาตค้างาช้างจากกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ก่อนจึงจะค้าต่อได้ โดยที่ร้านค้าจะต้องจัดทำบัญชีการได้มา การแปรรูป และการค้างาช้าง เพื่อควบคุมการค้างาช้างบ้าน มิให้มีการลักลอบนำเอางาช้างแอฟริกาเข้ามาปะปน เป็นการตัดวงจรขบวนการค้างาช้างแอฟริกาข้ามชาติที่ผิดกฎหมายตามแผนปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทยฉบับแก้ไข กำหนดให้ผู้ครอบครองงาช้างบ้าน ต้องแจ้งการครอบครอง ภายในวันที่ 21 เมษายน 2558 ทั้งในท้องที่กรุงเทพมหานคร และต่างจังหวัดแจ้งได้ที่สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 1-16 และสาขา
ในส่วนของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) รายงานผลการรับแจ้งการครอบครองงาช้าง ตามพระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ.2558 ระหว่างวันที่ 6 กุมภาพันธ์ - 18 เมษายน 2558 มีผู้มาแจ้งครอบครอง จำนวน 819 ราย แบ่งเป็น งาช้างสมบูรณ์ จำนวน 1,033 กิ่ง น้ำหนักกว่า 4,600 กิโลกรัม งาช้างท่อน จำนวน 172 ท่อน น้ำหนักกว่า 150 กิโลกรัม ผลิตภัณฑ์ จำนวน 5,753 ชิ้น น้ำหนักกว่า 500 กิโลกรัม รวมทั้งสิ้นกว่า 5,300 กิโลกรัม ขณะที่บรรยากาศก่อนวันสุดท้ายตามกำหนดระยะเวลาการรับแจ้ง มีผู้ครอบครองงาช้างทยอยมาแจ้งยังสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) และสาขากันอย่างคึกคัก
ในส่วนของสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) รายงานผลการรับแจ้งการครอบครองงาช้าง ตามพระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ.2558 ระหว่างวันที่ 6 กุมภาพันธ์ - 18 เมษายน 2558 มีผู้มาแจ้งครอบครอง จำนวน 819 ราย แบ่งเป็น งาช้างสมบูรณ์ จำนวน 1,033 กิ่ง น้ำหนักกว่า 4,600 กิโลกรัม งาช้างท่อน จำนวน 172 ท่อน น้ำหนักกว่า 150 กิโลกรัม ผลิตภัณฑ์ จำนวน 5,753 ชิ้น น้ำหนักกว่า 500 กิโลกรัม รวมทั้งสิ้นกว่า 5,300 กิโลกรัม ขณะที่บรรยากาศก่อนวันสุดท้ายตามกำหนดระยะเวลาการรับแจ้ง มีผู้ครอบครองงาช้างทยอยมาแจ้งยังสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 (เชียงใหม่) และสาขากันอย่างคึกคัก
