ASTVผู้จัดการ - “สมยศ” มอบนโยบาย บช.ก.สั่งเข้มเร่งปราบอบายมุข-ค้ามนุษย์ โปรยยาหอม 4 เดือนที่ผ่านมา บช.ก.ดีขึ้นมาก
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) พล.ต.อ.สมยศพุ่มพันธุ์ม่วง ผบ.ตร.พร้อมด้วย พล.ต.อ.เรืองศักดิ์ จริตเอก รอง ผบ.ตร.(ปป.2) และพล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผช.ผบ.ตร.(ปป.32) มอบนโยบายให้แก่ข้าราชการตำรวจในสังกัดกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง โดยมี พล.ต.ต.ฐิติราช หนองหารพิทักษ์ รรท.ผบช.ก. รอง ผบช.ก. ผบก.และ ผกก.ในสังกัด บชก.ทุกนาย เข้าร่วมรับฟังการประชุมมอบนโยบายในครั้งนี้
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า การบริหารราชการ ของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นั้นให้ถือปฏิบัติตามแนวทางการทํางาน ปรับบทบาทหน้าที่ขอให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของการจัดตั้งหน่วย 3 ประการ คือ 1. ทําหน้าที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางในการป้องกันปรามปราม สืบสวนสอบสวน อาชญากรรมที่มีลักษณะพิเศษ สลับซับซ้อน มีเครือข่ายเชื่อมโยง มีผู้อิทธิพลสนับสนุนอยู่เบื้องหลังเป็นงานที่มีคุณภาพสูง ทํางานอย่างมืออาชีพ 2. ทําหน้าที่เป็นหน่วยเสริมหรือช่วยเหลือการทํางานของ ตํารวจท้องที่ โดยการสนับสนุนและแลกเปลี่ยนข้อมูล เทคนิค ปัญหา ข้อกฎหมายต่างๆ รวมทั้งบูรณาการแผนและการปฏิบัติในภาพรวมที่ต้องการ ความเป็นปึกแผ่นครบถ้วนของหน่วยปฏิบัติ เช่นการจัดตั้งศูนย์บริการนักท่องเที่ยว แบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) เป็นต้น และ 3. ทําหน้าที่เป็นหน่วยตรวจสอบถ่วงดุลในการป้องกันปราบปรามการกระทําผิดอาญา กลุ่ม 4 ความผิดที่รัฐเป็นผู้เสียหาย ตามลักษณะงานที่รับผิดชอบของแต่ละ บก. เช่น การปราบปรามความผิดเกี่ยวกับ การพนัน ค้ามนุษย์ละเมิดลิขสิทธิ์ ทรัพยากรธรรมชาติ อาชญากรรมทาง คอมพิวเตอร์
“สําหรับนโยบายที่รัฐบาล และ ตร.ให้ความสําคัญเป็นพิเศษ คือ ปราบปรามอบายมุข โดยเฉพาะการลักลอบเล่นการพนันโดยผิดกฎหมายในลักษณะต่างๆ ให้ถือว่าเป็นนโยบายสําคัญต่อเนื่อง เรื่องดังกล่าวนี้ คสช.ได้มีคําสั่งที่ 24/2557 เมื่อ 26 พ.ค. 57 ให้ ตร.เพิ่มมาตรการและความเข้มข้น ดังนั้นพวกเราต้องช่วยกันกําจัดจุดอ่อน โดยทําการสืบสวนจับกุมอย่างจริงจังต่อเนื่อง ตรงไปตรงมาและไม่ลูบหน้าปะจมูก กวดขันดูแล ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่ให้เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันเรียกหรือรับทรัพย์สินโดยเด็ดขาด โดยให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันและปราบปรามอบายมุข โดยเฉพาะกลุ่มอบายมุขเป้าหมาย จึงขอฝาก ผบช.ให้ความสําคัญในเรื่องดังกล่าวด้วย” ผบ.ตร.เน้นย้ำ
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในทุกประเภทความผิดให้ถือเป็นวาระเร่งด่วน ที่ต้องตั้งใจทํางานให้สัมฤทธิผลอย่างจริงจัง สภาพปัญหาในภาพรวมของประเทศไทยในเรื่องดังกล่าวในสายตาของต่างชาติ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นผู้ประเมินผลโดย TIP REPORT นั้นยังไม่ดีขึ้น แม้ว่าพวกเราจะช่วยกันทํางานกันอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม นั่นคงจะเป็นเพราะเรายังไม่สามารถ ทําให้เกิดความเชื่อมั่นว่าเป็นหน้าที่ของรัฐแต่ไม่ได้เข้าไปมีผลประโยชน์ร่วมกับขบวนการ ค้ามนุษย์รูปแบบต่างๆ เพราะฉะนั้นโจทย์ใหญ่คือจะทําอย่างไรให้ผู้ประเมินเห็นว่าเรามีความจริงใจในการแก้ปัญหานี้ แม้ บช.ก.จะไม่ใช่หน่วยงานที่รับผิดชอบเพียง หน่วยงานเดียวของ ตร.ก็ตาม แต่ก็เป็นหน่ววยงานที่เป็นแกนหลักในมิติของการ ป้องกันปราบปราม เพราะฉะนั้นเราจะต้องทําหน้าที่ ในการดําเนินการเรื่อง ดังกล่าวอย่างเข้มข้น เพราะปัญหาการค้ามนุษย์นั้นมีผลในมิติความมั่นคงของชาติ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย พวกเราจะต้องร่วมมือร่วมใจกันและหากพวกเราทุ่มเทและจริงใจแก้ไขปัญหาอย่างถอนรากถอนโคน โดยขยายผลไปถึงนายทุนผู้สนับสนุนเบื้องหลังแล้วจะสามารถลดระดับความรุนแรงของปัญหาค้ามนุษย์ในภาพรวมของประเทศได้เป็นอย่างดีซึ่งจะช่วยลดกระแส
ผบ.ตร.กล่าวว่า สำหรับนโยบายการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้แก่ นักท่องเที่ยวจากรัฐบาลได้กําหนดให้ปี 2558 เป็นปีท่องเที่ยววิถีไทย เป็นวาระแห่งชาติ ประเทศไทยส่วนใหญ่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก และภูมิภาคหลายแห่งมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลเข้ามาในแต่ละปีเป็นจํานวนหลายสิบล้านคน และในห้วงนี้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวจึงขอเน้นย้ำเรื่องการบูรณาการแผนและการจัดกําลังร่วมในการตั้งศูนย์บริการ นักท่องเที่ยวแบบเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) ในพื้นที่ยุทธศาสตร์จังหวัด ท่องเที่ยว โดยตํารวจภูธรภาค เป็นเจ้าภาพในการจัดทําแผนแบบบูรณาการการปฏิบัติของหน่วยต่างๆ คือ กองปราบปราม ตํารวจท่องเที่ยว ตํารวจน้ำ ทางหลวง ซึ่งได้สั่งการไปแล้วตั้งแต่ช่วงตอนเดือน ม.ค. 58 จึงขอให้ดําเนินการอย่างจริงจัง เพื่อให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป หากเห็นว่าพื้นที่ใดยังไม่ได้ดําเนินการ ให้ตํารวจท่องเที่ยวกระตุ้นเตือน ผลักดัน และแนะนําหน่วยอย่างใกล้ชิด
“ส่วนการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย เรื่องนี้เป็นเรื่องที่นานาชาติให้ความสําคัญทั้งในเวทีสหประชาชาติ เวทีประชาคมในภูมิภาค รวมทั้งเวทีการเจรจาทวิภาคีต่างๆ เนื่องจากสถานการณ์โลก ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีความขัดแย้งกระจายตัวอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก และประเทศไทยมีข้อผูกพันตามอนุสัญญา บันทึกความตกลงต่าง หลายประการ ซึ่ง บช.ก.เองได้ถูกมอบหมายให้รับผิดชอบเป็นเจ้าภาพหลักในหลายเรื่อง เช่น การก่อการร้าย การค้ามนุษย์ โจรสลัด การลักลอบการค้าอาวุธสงคราม อาชญากรรมเศรษฐกิจ และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น แม้ว่าในขณะนี้สถานการณ์ของประเทศไทยจะไม่ใช่พื้นที่เป้าหมายการปฏิบัติการของกลุ่มการก่อการร้ายต่างๆ ก็ตาม แต่จากการที่ประเทศเราเน้นหนักในการส่งเสริมการท่องเที่ยว จึงเป็นจุดอ่อน ที่อาจทําให้อาชญาการแฝงตัวเข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นฐานการดําเนินธุรกิจผิดกฎหมายต่างๆ แหล่งฟอกเงินหรือใช้เป็นแหล่งพักผ่อนแฝงตัว จึงมีความจําเป็นเบื้องต้นที่จะต้องมีการกําหนดมาตรการและแนวทางการปฏิบัติที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลข่าวสารให้เป็นระบบเสียก่อน ได้แก่ การจัดช่องทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานทั้งในและนอกประเทศ เช่น สันติบาล ตํารวจสากล สตม. และหน่วยข่าวของต่างประเทศ เป็นต้น การปรับปรุงฐานข้อมูลให้มีความทันสมัย เชื่อมโยงกับระบบการเข้า-ออกประเทศ การพัฒนาเครือข่ายทางด้านข่าวกรองหลังจากนั้นจึงนําฐานข้อมูลดังกล่าวมาใช้ประโยชน์ในการกําหนดมาตรการการ ป้องกันปราบปรามในเชิงรุก โดยเน้นหนักการกระทําผิดในลักษณะองค์กร อาชญากรรมที่มีเครือข่ายโยงใยข้ามชาติจะต้องมีดําเนินการตามกฎหมายฟอกเงิน ควบคู่กันไปด้วย” พล.ต.อ.สมยศกล่าว
พล.ต.อ.สมยศกล่าวด้วยว่า เรื่องการเตรียมตัวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในต้นปีหน้า ตร.ได้แต่งตั้งคณะทํางานฯ เพื่อเตรียมความพร้อมไว้แล้ว โดยมี พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ และ พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ รอง ผบ.ตร.เป็นผู้ขับเคลื่อนในภาพรวมของ ตร. ไม่ว่าจะเป็นนด้าน กายภาพ ด้านการพัฒนาศักยภาพของตํารวจและด้านอื่นๆ ในทุกมิติเพื่อรองรับ สภาพปัญหาและผลกระทบจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนซึ่งจะมีการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานประชากรของประเทศได้อย่างสะดวกและมีปริมาณมากขึ้น จึงจําเป็นที่ตํารวจทุกคนต้องปรับปรุงและพัฒนาตัวเองให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลกทั้งด้านเศรษฐกิจสังคมต่างๆ อาชญากรรมจะมีเพิ่มและสลับซับซ้อนมากยิ่งขึ้นนั้นหมายถึงตํารวจต้องทํางานหนักและยากขึ้น ผู้บังคับบัญชาต้องเป็นผู้นําการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น มีการแสวงหาองค์ความรู้ใหม่ๆ ทั้งทางด้านภาษาและด้านอื่นๆ เพื่อเป็นการพัฒนาศักยภาพและสมรรถนะให้เท่าทันต่อพัฒนาการของอาชญากรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
พล.ต.อ.สมยศกล่าวว่า สำหรับเรื่องสุดท้ายขอฝากเรื่องปฏิรูปตํารวจตนในฐานะผู้นําองค์กร ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าไม่ได้ขัดขวางหรือปฏิเสธ การปฏิรูปจากบุคคลภายนอกแต่เน้นย้ำอยู่เสมอว่าการปฏิรูป พี่น้องประชาชนต้องได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพการ ทํางานของตํารวจที่เพิ่มขึ้ในการปฏิรูปขอให้ตํารวจเข้าไปมีส่วนรับรู้และแสดงความคิดเห็นด้วยเพราะเชื่อมั่นว่าไม่มีใครรู้จักตํารวจดีเท่าตํารวจด้วยกันเอง ซึ่งเราได้เปิดรับฟัง ความคิดเห็นไปครั้งหนึ่งแล้ว ระหว่างวันที่ 10-12 ก.พ.ที่ผ่านมา ที่ รร.นรต. และจะเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 27 ก.พ.ที่สโมสรตํารวจเป็การรับฟัง จากข้าราชการตํารวจชั้นประทวนทั่วประเทศอย่างเรื่องหน่วยงานที่รับโอน ต้องเอาหน้าที่และความรับผิดชอบไปทั้งหมดมอย่าเลือกเอาไป แต่ส่วนที่เป็นอํานาจตามตําแหน่งที่สามารถนําไปสู่การก่อให้เกิดอิทธิพลของผู้ใช้อํานาจเพียงส่วนเดียว และทิ้งส่วนที่เป็นภาระหน้าที่ที่เป็นเศษเสี้ยวที่ไม่ต้องการ เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดอิทธิพลของผู้ใช้อํานาจไว้ให้กับตำรวจ ผู้มีอํานาจต้องดึงเอาการเมืองออกไปจากตํารวจ มิให้การเมืองใช้ตํารวจหรือเป็นเครื่องมือทางการเมือง การที่บางกลุ่มบางองค์กร มาแสดงความเห็นว่าควรจะนําตํารวจไปขึ้นการปกครองบังคับบัญชากับองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น (อปท.) คิดว่าจะต้องพิจารณาถึงความรู้ความสามารถ ศักยภาพในการทํางานและความ โปร่งใสด้วย ตํารวจมีบุคลากรที่มีศักยภาพมาก จึงเป็นที่ตเองการตัวและต้องการใช้ งานของนักการเมืองและหน่วยงานอื่นๆ
“ในทางกลับกัน ผมก็ได้เน้นย้ำข้าราชการตํารวจอยู่เสมอว่าต้องตั้งใจทํางานให้เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เหตุที่หน่วยนอกต้องการมาเปลี่ยนแปลงตํารวจ เป็นเพราะตํารวจไม่ได้ทํางานให้เป็นที่ไว้ใจของประชาชน เน้นอุดมคติตํารวจต้อง “ไม่มักมากในลาภผล” คือ ให้มีความพอดีในการปฏิบัติหน้าที่ ทั้งนี้ อยากให้ผู้บังคับบัญชาลงไปดูแลความเป็นอยู่ของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด พร้อมทั้งให้เร่งสร้างศรัทธาจากประชาชนและขอชื่นชมผลงานของ บช.ก.ใน 4 เดือนที่ผ่านมานั้น มีผลงานดีขึ้นมากและขอให้ บช.ก.นั้นเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอย่างแท้จริง” ผบ.ตร.ทิ้งท้าย