ASTVผู้จัดการ - “หลวงปู่พุทธะอิสระ” แจ้งจับกราวรูด พระพรหมโมลี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระพรหมเมธี กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม และ สมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักพุทธ ใส่ความคณะสงฆ์ ผลหลังจากทั้งสามยืนยันมหาเถรสมาคมมีมติอุ้ม “ธัมมชโย” ไม่ต้องปาราชิก
วันนี้ (26 ก.พ.) ที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 14.00 น. พระสุวิทย์ ธีรธมโม หรือ หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย ต.ห้วยขวาง อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.ปรีชา ศรีอุดม พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีกับ พระพรหมโมลี (สุชาติ ธมฺมรตโน) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระพรหมเมธี (จำนง ธัมมจารี) กรรมการและโฆษกมหาเถรสมาคม และนายสมชาย สุรชาตรี โฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในความผิดฐาน ใส่ความคณะสงฆ์หรือคณะสงฆ์อื่นอันอาจก่อให้เกิดความเสื่อมเสียหรือแตกแยก ตาม พรบ.คณะสงฆ์ มาตรา 44 (ตรี) และ เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดยนำเอกสาร และเทปเสียง มอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน
หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวว่า เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา พระพรหมเมธีและนายสมชาย แถลงข่าวว่า ในที่ประชุมมหาเถรสมาคมมีมติว่า พระเทพญาณมหามุนี ธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ไม่ต้องอาบัติปาราชิก ต่อมาอาตมาจึงเดินทางไปสอบถามพระพรหมโมลี ซึ่งเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมก็ให้คำตอบยืนยันว่ามีการลงมติไปแล้วเช่นเดียวกัน แต่หลังจากนั้นทางสำนักงานพระพุทธศาสนาก็ได้ออกมาแถลงโต้ว่าที่ผ่านมาทาง มหาเถรสมาคมไม่เคยมีการลงมติในเรื่องดังกล่าวเลย ซึ่งแย้งกับที่ทั้งสามท่านได้ออกมาแถลงก่อนหน้านี้ ซึ่งเท่ากับว่าทั้งสามท่านได้ใส่ความคณะสงฆ์
หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้มีตรวจสอบและทวงถามความถูกต้องตามหลักธรรมวินัย โดยมีการยื่นเรื่องไปที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ สำนักนายกฯ ซึ่งสร้างความรู้สึกสงสัยในพฤติกรรมมหาเถรที่เห็นพระธรรมวินัยเป็นรองคำสั่งอัยการ โดย มหาเถรสมาคมอ้างว่าที่ ไม่ฟ้องเอาผิดธัมมชโยเพราะว่าอัยการเป็นผู้สั่งไม่ฟ้อง คดีทางพระจึงยุติไปด้วย แต่หลังจากมีเรื่องมีราวมหาเถรสมาคมก็มากลับลำว่าไม่ได้มีการประชุม อย่างไรก็ตาม งานนี้ก็ต้องมีคนรับผิดชอบซึ่งก็คือคนที่ออกมาให้สัมภาษณ์และมาตั้งโต๊ะแถลงข่าวว่าลงมติไปแล้ว และคนที่คุยกับอาตมาคือ พระพรหมโมลี ที่ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามีการลงมติไปแล้ว
หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าวอีกว่า ทั้ง 3 ท่านนี้เป็นบุคคลที่ถือว่าผิดอาญาในฐานะที่ตัวเองเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมาย ตามมาตรา 157 และละเมิดกฎหมายมหาเถรสมาคม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ปี 2505 ว่าด้วยเรื่องการใส่ร้ายคณะสงฆ์และมหาเถรสมาคม อาตมาจึงมาร้องทุกข์กล่าวโทษกับบุคคลทั้ง 3 ท่านซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งหมดว่าต้องมีส่วนรับผิดชอบหรือออกมาแสดงความรับผิดชอบอะไรบ้าง ไม่ใช่เงียบหายไปแล้วก็ทำให้มหาเถรกลายเป็นที่น่ารังเกียจของสังคม
“ต้องรอดูการประชุมของมหาเถรก่อนว่าผลการประชุมมหาเถรจะรักษาพระธรรมวินัยหรือจะยึดโยงเอาธรรมกายมารักษา ถ้าเมื่อใดที่มหาเถรรักษาธรรมและวินัยก็คงจบ พุทธะอิสระก็กลับวัดทำศาสนกิจ แต่ถ้าหากมหาเถรรักษาธรรมกายมากกว่าธรรมและวินัยถ้าอย่างนั้นก็จะต้องมีการร้องทุกข์กล่าวโทษต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป อย่างไรก็ตามอยากให้พระรูปอื่นมาช่วยอาตมาต่อสู้ด้วย ตอนนี้อาตมาไม่ไหวแล้ว เอาหัวโขกกำแพงอยู่คนเดียว ใกล้หมดแรงแล้ว” หลวงปู่พุทธะอิสระกล่าว
ด้าน ร.ต.ท.ปรีชากล่าวว่า เบื้องต้นหลังจากรับเรื่องและทำการตรวจสอบแล้วพบว่า เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ อ.พุทธมณฑล จ.นครปฐม จึงส่งเรื่องให้พนักงานสอบสวน กก.5 บก.ป. รับไปดำเนินการเพื่อทำการสอบปากคำผู้ร้องและตรวจสอบพยานหลักฐาน ก่อนนำเรื่องเสนอผู้บังคับบัญชาพิจารณาสั่งการต่อไป