ศาลฎีกาแก้โทษเจ้าของ “ตลาดพงษ์เพชร” ใช้ตั๋วเงินปลอม 1,300 ล้านบาท เหลือ 2 ปี รับสารภาพลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี เหตุผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ สำนึกผิด แต่ไม่รอการลงโทษ ชี้พฤติการณ์ร้ายแรงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวม
เมื่อเวลา 10.00 น.วันนี้ (26 ก.พ.) ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกา คดีหมายเลขดำ อ.2150/2553 คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 5 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายพงษ์ไพโรจน์ รัชตะทรัพย์ อายุ 70 ปี เจ้าของและผู้บริหารตลาดพงษ์เพชร จำเลยความผิดฐานปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม
โจทก์ฟ้องสรุปพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2540 จำเลยในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท พงษ์เพชรแลนด์ จำกัด ได้ปลอมตั๋วสัญญาใช้เงิน 4 ฉบับ เป็นเงิน 1,315 ล้านบาท จำเลยได้ปลอมลายมือชื่อบุคคลในครอบครัว รวม 6 คน ลงในช่องผู้รับรอง (อาวัล) ของตั๋วสัญญาใช้เงินทั้ง 4 ฉบับ เพื่อยินยอมและผูกพันในการใช้เงินให้แก่ธนาคาร มหานคร จำกัด (มหาชน) เพื่อให้ธนาคารฯ หรือผู้หนึ่งผู้ใดพบเห็นหลงเชื่อว่าตั๋วสัญญาทั้ง 4 ฉบับ เป็นตั๋วสัญญาที่แท้จริงที่ออกให้แก่ธนาคารฯ แล้วจำเลยได้นำตั๋วสัญญาใช้เงินไปเสนอขายต่อธนาคารฯ ซึ่งสร้างความเสียหายแก่ธนาคาร เหตุเกิดที่แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ต่อมาวันที่ 8 มิ.ย. 52 พนักงานสอบสวน สน.ประชาชื่น ได้แจ้งข้อหาดำเนินคดี ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับสารภาพในชั้นศาล
โดยก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นพิพากษาวันที่ 6 ก.ค. 2554 ว่าจำเลยกระทำผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมให้จำคุก 6 ปี โดยลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้ 3 ปี ขณะที่จำเลยยื่นอุทธรณ์ ซึ่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2556 ต่อมาจำเลยฎีกา เพื่อขอให้ศาลฎีการอการลงโทษจำเลย
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า ที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น เห็นว่าจำเลยปลอมตั๋วเงิน 4 ฉบับ โดยปลอมรายเซ็นผู้เสียหายทั้งหมด 6 ราย มูลค่า 1,315 ล้านบาท เพื่อให้ธนาคารมหานคร เข้าใจว่าเป็นตั๋วเงินจริงที่ผู้เสียหายเป็นผู้รับรอง (อาวัล) อีกทั้งจำเลยนำตั๋วเงินไปใช้โดยอ้างต่อพนักงานธนาคารมหานครว่าเป็นตั๋วเงินจริงที่มีผู้เสียหายลงชื่อรับรอง จนหลงเชื่อยินยอมให้ปล่อยกู้ให้ จนสร้างความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายและสถาบันการเงิน การกระทำของจำเลยยังทำให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศ มีพฤติการณ์อุกอาจ ร้ายแรงไม่เคารพกฎหมาย การที่จำเลยไม่เคยถูกจำคุก และเคยประกอบความดีบริจาคเงินและที่ดินให้กับรัฐบาล แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลเพียงพอที่จะให้ลดโทษจำคุกจำเลย อย่างไรก็ตาม ผู้เสียหายได้แถลงไม่ติดใจเอาความโดยจำเลยก็ให้การรับสารภาพ แสดงให้เห็นว่าจำเลยสำนึกผิด ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน เห็นควรแก้โทษ ให้จำคุกจำเลย 2 ปี รับสารภาพเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา ลดกึ่งหนึ่งคงเหลือจำคุก 1 ปี
ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษานายพงษ์ไพโรจน์ไม่ได้แสดงอาการเคร่งเครียด ขณะที่ลูกสาวและลูกชายที่เดินทางมาด้วยต่างโผเข้าสวมกอดให้กำลังใจก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะคุมตัวไปรับโทษตามกฎหมาย
ด้านนายพงษ์ไพโรจน์กล่าวสั้นๆ เพียงว่าตอนนี้ร่างกายยังแข็งแรงดี แต่ขาเดินไม่ค่อยไหว เพราะอายุ 70 ปีแล้ว เบื้องต้นเตรียมจะขอพระราชทานอภัยโทษ โดยตนเคยจำคุกในคดีนี้มาแล้ว 70 วัน
ขณะที่นายตรีชาติ อินทรคำ ทนายความ กล่าวว่า หากภายในปีนี้มีการพระราชทานอภัยโทษก็จะยื่นคำร้องขอพระราชทานอภัยโทษในกรณีผู้สูงอายุ เพราะจำเลยอายุ 70 ปีแล้ว