ศาลอาญาจำคุกอดีตนักศึกษากลุ่ม “ประกายไฟ” แสดงละคร “เจ้าสาวหมาป่า” หมิ่นเบื้องสูง คนละ 5 ปี แต่จำเลยรับสารภาพเหลือติดคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน พร้อมระบุไม่ขออุทธรณ์สู้คดี
ที่ห้องพิจารณาคดี 813 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 11.30 น. วันนี้ (23 ก.พ.) ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.3526/2557 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 7 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือแบงก์ อายุ 24 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และน.ส.ภรณ์ทิพย์ มั่นคง หรือกอล์ฟ ประกายไฟ อายุ 27 ปี นักเคลื่อนไหวทางสังคม และอดีตผู้ประสานงานกลุ่มประกายไฟการละคร จำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันดูหมิ่น หมิ่นประมาท หรืออาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
คดีนี้อัยการโจทก์ได้ยื่นฟ้องจำเลยทั้งสอง เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2557 ระบุพฤติการณ์ว่า เมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2556 เวลากลางวัน จำเลยกับพวก ร่วมกันแสดงละครเวทีเรื่อง “เจ้าสาวหมาป่า” ในงานรำลึก 40 ปี 14 ตุลาฯ ที่หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ซึ่งมีบทละครที่มีข้อความเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ฯ ทำให้ผู้ได้รับฟังเข้าใจความหมายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อันเป็นการลบลู่ ดูหมิ่นแสดงความอาฆาตมาดร้าย เหตุเกิดที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยทั้งสองกระทำผิดตามมาตรา 112 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 5 ปี จำเลยทั้งสองรับสารภาพมีเหตุให้บรรเทาโทษ เห็นควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งเหลือจำคุกคนละ 2 ปี 6 เดือน เมื่อสืบเสาะพฤติการณ์ของจำเลยแล้ว แม้จำเลยจะไม่เคยกระทำผิดมาก่อน แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่หอประชุม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นการแสดงละครดูหมิ่นจาบจ้วงต่อหน้าประชาชนจำนวนมาก อีกทั้งมีการเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ ทำให้เสียหายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่เคารพของปวงชนชาวไทย ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ร้ายแรงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ
ภายหลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ ญาติและเพื่อนจำเลยต่างร้องไห้และจับมือให้กำลังใจ ขณะที่จำเลยทั้งสองไม่ได้มีสีหน้าเคร่งเครียด ยอมรับคำพิพากษา โดยนายปติวัฒน์กล่าวสั้นๆ ว่าจะไม่ขออุทธรณ์คดี
น.ส.ภาวิณี ชุมศรี ทนายความ กล่าวภายหลังฟังคำพิพากษาว่า เบื้องต้นคาดว่าจะไม่ยื่นอุทธรณ์เนื่องจากเป็นความต้องการของจำเลยเอง ตนได้พูดคุยกับพ่อแม่และจำเลยทั้งสองถึงแนวทางการต่อสู้คดีว่าหากรับสารภาพจะเป็นประโยชน์อย่างไรบ้าง ซึ่งจำเลยทั้งสองก็เห็นควรจึงรับสารภาพเพื่อให้คดีจบอย่างรวดเร็ว ส่วนโทษที่ศาลสั่งจำคุก 5 ปี และลดเหลือ 2 ปี 6 เดือน ถือว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่คาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว จึงค่อนข้างพอใจคำพิพากษา
โดยหลังจากนี้จะต้องรอดูว่าทางอัยการจะยื่นอุทธรณ์ให้เพิ่มโทษจำเลยหรือไม่ ซึ่งจะมีระยะเวลากำหนด 1 เดือนแต่สามารถขอขยายเวลาได้อีก ส่วนการยื่นเรื่องขอพระราชทานอภัยโทษจำเลยต้องถูกจำคุกไปแล้วระยะเวลาหนึ่งจึงจะยื่นเรื่องขอได้ ขณะนี้ทั้งสองคนถูกจำคุกมาแล้วประมาณ 7 เดือน และก่อนหน้านี้ได้ยื่นประกันจำเลยมาแล้ว 5 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต
ทั้งนี้ ระหว่างที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวจำเลยทั้งสองขึ้นรถกลับเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ และทัณฑสถานหญิงกลาง มีกลุ่มเพื่อนๆ นักศึกษาได้ร้องเพลงขณะรอส่งเข้าเรือนจำ