xs
xsm
sm
md
lg

กองปราบรวบ “โอ๊ต พราด้า” คนสนิท “กิตติศักดิ์ มัทธุจัด” แก๊งลักเงิน สจล.

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


ASTVผู้จัดการ - กองปราบตามรวบ “โอ๊ต พราด้า” เพื่อนสนิท “กิตติศักดิ์ มัทธุจัด” คาบ้านพัก พร้อมยึดเงินสด 1.2 แสนบาท เก๋งเชฟโรเลต และกุญแจรถอีก 2 คัน ไว้ตรวจสอบ เจ้าตัวโอดไม่มีส่วนรู้เห็น



วันนี้ (9 ม.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 15.30 น. พ.ต.อ.กรไชย คล้ายตลึง รอง ผบก.ป. พ.ต.ท.ต่อวงศ์ พิทักษ์โกศล สว.กก.1 บก.ป.พ.ต.ท.พัฒนพงศ์ ศรีพิณเพราะ สว.กก.5.บก.ป. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ เข้าจับกุมตัว นายภาดา บัวขาว หรือ โอ๊ต พราด้า อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 98/43 หมู่ 2 ต.บางพลับ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ตามหมายจับของศาลอาญา ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ร่วมกันสนับสนุน ให้เจ้าหน้าที่ทุจริต ในหน้าที่หรือองค์กร ให้เกิดความเสียหาย ในคดีลักทรัพย์เงินของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) โดยจับกุมตัวได้ที่ อิงนที รีสอร์ต ต.เชียงรากใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี พร้อมตรวจยึดเงินสดจำนวน 120,000 บาท เงินดอลลาร์สหรัฐฯใบละ 100 ดอลลาร์ จำนวน 18 ใบ รถเก๋ง เชฟโรเลต ครูช สีขาว ทะเบียน ณย 4695 กทม. เอกสารต่างๆ จำนวนหนึ่ง กุญแจรถบีเอ็มดับเบิลยู 1 ดอก กุญแจ รถตู้โตโยต้า อัลพาร์ท 1 ดอก ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ได้ยึดไว้ตรวจสอบ

สอบสวนเบื้องต้น นายภาดา ให้การว่า ได้มาเปิดห้องอยู่ที่รีสอร์ตดังกล่าว ตั้งแต่เมื่อวานนี้ โดยตั้งใจจะไปออกรายการทีวีต่างๆ เพื่อแก้ข้อกล่าวหา ทั้งนี้ ยอมรับว่า ได้รู้จักกับ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาคดี สจล. มาได้ประมาณ 1 ปี จากนั้น นายกิตติศักดิ์ ได้ให้ตนเป็นผู้ดูแลรถสปอร์ตหรู ลัมบอร์กินี เพื่อรอขายต่อ โดยมี "บอย" ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์เป็นผู้ซื้อ หลังจากที่ตนได้โพสต์ประกาศขายรถลงในเฟซบุ๊ก

“ยืนยันว่า ไม่เคยรู้จัก บอย ปกรณ์ เป็นการส่วนตัวมาก่อน ในคดีลักเงินของ สจล. ของนายกิตติศักดิ์ ผมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ผมมีธุรกิจหลายอย่างอยู่ที่ จ.ภูเก็ต ทั้งเปิดผับ และมีอพาร์ทเมนต์ อีก 1 แห่ง อยู่แล้ว” โอ๊ต ภาดากล่าว

ด้าน พ.ต.อ.กรไชย กล่าวว่า สำหรับ นายภาดา ทางเจ้าหน้าที่สืบมาว่า มีความสนิทกับ นายกิตติศักดิ์ โดยนายภาดา คอยเป็นคนกลาง ขายรถหรูต่างๆ ให้กับ นายกิตติศักดิ์ และยังมีอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกัน ต้องขอเวลาสอบสวน นายภาดา ถึงที่มาที่ไปต่างๆ เสียก่อน สำหรับทรัพย์สินของภาดา ทุกอย่างต้องตรวจสอบว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร

รอง ผบก.ป. กล่าวต่อว่า สำหรับรายชื่อที่ทาง ปปง. เปิดเผยจำนวน 21 ราย มีทั้งตัวหลักที่ทางพนักงานสอบสวนออกหมายจับไปแล้ว และจับกุมได้แล้ว นอกจากนั้น ยังมีอักหลายรายที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ออกหมายจับ เนื่องจากเป็นพวกปลายๆ ที่เงินกระจายไป แต่ทาง ปปง. ได้อายัดเงินในบัญชีไว้หมดแล้ว ขณะนี้เจ้าหน้าที่กำลังติดตามตัวผู้ต้องหาตัวหลักๆ ที่สำคัญในคดีนี้อยู่ ส่วนรายย่อยยังไม่ได้ติดตามในตอนนี้

ต่อมา ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 18.30 น. พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาการ ผบช.ก. เดินทางเข้าสอบสวน นายภาดา ด้วยตนเอง โดย นายภาดา ให้การว่า ก่อนหน้านี้ ตนมีภรรยาและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ก็ได้เลิกรากันไปนานแล้ว จากนั้นได้มารู้จักกับ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วเขาก็เข้ามาตีสนิท กระทั่งคบหาเป็นแฟนกัน ซึ่งได้ตกลงกันว่าจะมีเวลาให้กันอาทิตย์ละ 3 วัน ต่อมาตนเข้าไปพักที่บ้านหรูในหมู่บ้านของพฤกษาภิรมย์ ราชพฤกษ์ ระหว่างนั้นเขาก็ซื้อกระเป๋า แหวน นาฬิกา และซื้อของแบรนด์เนมราคาแพงให้ใช้ตลอด โดยที่ตนไม่ระแคะระคายว่าเขาเอาเงินมาจากไหนซื้อของให้ นอกจากนี้ ระหว่างที่ระหองระแหงกัน เขามาง้อพร้อมทั้งชวนไปเที่ยวฮ่องกงตามที่มีภาพข่าวตามสื่อมวลชนอีกด้วย

นายภาดา กล่าวต่อว่า ตนเพิ่งมาทราบไม่นานว่านอกจากจะคบกับตนแล้ว นายกิตติศักดิ์ ยังเป็นคู่ขากับ นายทรงกลด ศรีประสงค์ ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ ผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีดังกล่าวอีกด้วย อย่างไรก็ตาม หลังทราบข่าวว่า นายกิตติศักดิ์ ถูกจับกุมในคดีโกงเงิน สจล. ด้วยความตกใจ ตนจึงเก็บกระเป๋าออกจากบ้านเพื่อตั้งหลัก กระทั่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมดังกล่าว

ถายหลังจากการสอบปากคำนายภาดา เสร็จสิ้นโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง พล.ต.ท.ประวุฒิ ได้นำตัวนายภาดา พร้อมทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้อีกหลายรายการมาแถลงข่าว โดย พล.ต.ท.ประวุฒิ เปิดเผยว่า สำหรับนายภาดาเราพบความเชื่อมโยงว่าเป็นคนสนิทกับนายกิตติศักดิ์ที่หลบหนีไป โดยทั้งคู่เดินทางไปฮ่องกงด้วยกัน แต่นายภาดาเดินทางกลับมาก่อน โดนนายภาดาเดินทางกลับมาเพื่อผ่องถ่ายขายทรัพย์สินของนายกิตติศักดิ์ แต่ตัวนายภาดาเองอ้างว่า ไม่รู้ว่ากลับมาขายทรัพย์สินไปทำไมและก็ไม่รู้ว่านายกิตติศักดิ์ถูกออกหมายจับ รู้แต่เพียงมาทำหน้าที่ในการขายทรัพย์สินแทนให้เท่านั้น

ด้านนายภาดา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ก็เคยทำธุรกรรมร่วมกันกับนายกิตติศักดิ์ ส่วนใหญ่จะเป็นรับโอนเงินสดจากค่านายหน้าที่ติดต่อเรื่องต่างๆให้ ส่วนเรื่องรถลัมบอร์กินี่ทีขายให้บอย ปกรณ์ นั้น เนื่องจากตนเป็นคนเล่นโซเชียลมีเดีย จึงมีการโพสต์ขายรถ ขายบ้าน รับจำนองที่ดิน จากนั้น บอย ปกรณ์ ก็ได้ติดต่อเข้ามาซื้อรถ มีการซื้อขายกันจริง ดูรถกันจริง จ่ายเงินกันจริงโดยตรงกับนายกิตติศักดิ์ โดยตนเซ็นเป็นพยาน ซึ่งราคาที่ซื้อขายก็เป็นราคาปกติของตลาดรถอยู่แล้ว จากที่ตนเช็กมาราคาไม่ถึง 19 ล้าน ก็ขายไป 13.5 ล้าน ถ้าซื้อจากเกรย์มาร์เก็ตก็จะอยู่ที่ประมาณ 18 ล้าน โดยรถคันดังกล่าวนายกิตติศักดิ์ใช้ไปได้ประมาณ 3 เดือน ซึ่งก่อนที่บอย ปกรณ์จะมาซื้อ ก็มีผู้อื่นติดต่อขอซื้อ แต่ก็ตกลงราคากันไม่ได้ ส่วนที่ตนไปแจ้งความที่ บก.ปอท. เนื่องจากมีเว็บไซต์หนึ่งนำรูปตนไปโพสต์พาดพิงตนในเชิงเสียหาย ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความจริง ตนยังไม่ใช่ผู้ต้องหาจึงยังไม่มีสิทธิ์นำรูปตนไปโพสต์ ส่วนเรื่องคดีนี้ก่อนหน้านี้ตนเคยแจงกับสื่อว่าพร้อมที่จะเข้าชี้แจงกับเจ้าหน้าที่แต่ก็ยังไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา

ต่อข้อถามที่ว่า ทรัพย์สินต่างๆที่ได้มาที่เป็นภาพที่เห็นในเฟสบุ๊กนายภาดานั้น มีที่ไปที่มาอย่างไร นายภาดา กล่าวว่า ทรัพย์สินท่เห็นนั้นไม่ใช่ของตน ตนเป็นคนชอบเล่นโซเชียลอยู่แล้วเมื่อเจออะไรสวยๆงามๆ ตนก็จะถ่ายรูปเก็บไว้ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่สามารถเช็กได้ว่ารถเป็นชื่อใคร บ้านเป็นชื่อใคร ซึ่งไม่มีชื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้องอยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่าเคยมีการทำธุรกิจร่วมกันนายกิตติศักดิ์หรือไม่ นายภาดา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ไม่มี จะมีก็ล่าสุดเป็นบริษัทเอ็มเฟซ ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เพิ่งจดทะเบียนไป ซึ่งยังไม่มีการดำเนินการทางธุรกิจ เพราะว่าสินค้าที่ทำเป็นครีมที่จะเอามาขายทางออนไลน์ก็ยังไม่เสร็จ ส่วนเรื่องสตรีทผับที่มีข่าวว่าตนเข้าไปบริหารนั้น จริงแล้วตนเข้าไปเป็นเพียงผู้ช่วยที่ปรึกษา ซึ่งก็ไม่ได้มีการเซ็นสัญญาว่าจ้างกันเป็นลายลักษณ์อักษร คอยทำหน้าที่ดิวงานออแกไนซ์และงานต่างๆเข้ามาในผับ ซึ่งตนเองมีผับที่ภูเก็ตอยู่แล้ว โดยไปรู้จักกับนายกิตติศักดิ์ที่นั่น ก่อนจะถูกชักชวนมาช่วยบริหารที่สตรีทผับ ส่วนตัวนายทรงกลด ศรีประสงค์ กับ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ตนก็ไม่เคยรู้จัก

นายภาดา กล่าวต่อไปอีกว่า ตนไม่ทราบมาก่อนเลยว่านายกิตติศักดิ์ตกเป็นผู้ต้องหาถูกออกหมายจับ โดยตอนแรกตนก็ไม่รู้ว่านายกิตติศักดิ์กับนายทรงกลดรู้จักกัน แต่ก่อนที่จะมีเรื่องตนเคยเห็นเรียกคนชื่ออ้น ซึ่งก็คือนายทรงกลด ตนก็เลยถามถึงคนชื่ออ้น แล้วผมก็เริ่มประติดประต่อเรื่องราวว่าที่เขารู้จักกับนายทรงกลดในฐานะที่ชื่ออ้น ซึ่งตนเพิ่งมารู้ตอนหลังว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์กันมากเกินกว่าเพื่อน

"ครั้งล่าสุดที่ติดต่อกับนายกิตติศักดิ์ คือเมื่อ 3 วันที่แล้ว ตนพยายามคุยกับเขาว่าหากไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ก็ให้กลับมา มาหาทางไกล่เกลี่ย มาหาทางช่วยกันเพราะตนก็ช่วยเขามาเยอะแล้วเหมือนกันจนกระทั่งเป็นเรื่องดังกล่าว ตอนตนอยู่ฮ่องกงก็ยังไม่รู้เรื่องเพราะยังไม่มีหมายจับ จนกระทั่งกลับมาจึงทราบเรื่อง ส่วนตัวนายกิตติศักดิ์เองตอนนี้เจ้าตัวรู้เรื่องแล้ว โดยบอกกับตนว่าจะบินกลับจากประเทศอังกฤษมาที่ฮ่องกง ในวันที่ 12 ม.ค. โดยตอนนี้ตัวนายกิตติศักดิ์อยู่ที่อังกฤษ เดินทางออกจากฮ่องกงไปเมื่อวันที่ 24 ธ.ค. ที่ผ่านมา ล่าสุดตนติดต่อไปก็ปิดมือถือไม่สามารถติดต่อได้แล้ว" นายภาดากล่าว

เบื้องต้นหลังจากนี้เจ้าหน้าที่เตรียมสอบสวนนายภาดาเพิ่มเติมเพื่อขยายผล โดยในวันพรุ่งนี้(10 ม.ค.) ก่อนเที่ยงจะควบคุมตัวนายภาดาไปฝากขังที่ศาลจังหวัดมีนบุรีต่อไป






กำลังโหลดความคิดเห็น