กองปราบฯ จ่อออกหมายเรียก “โอ๊ต ภาดา บัวขาว” นักธุรกิจดัง หลังสอบพบดูแลทรัพย์สินทั้งรถยนต์ บ้าน แทน “กิตติศักดิ์” ผู้ต้องหารายสำคัญในคดีลักเงิน สจล.สอบปากคำรวมทั้ง “พิ้งกี้-สาวิกา” นางเอกสาวชื่อดังในวันพรุ่งนี้ ประสาน ปปง.เร่งทำยึดอายัดทรัพย์ไว้ตรวจสอบทั้งหมด เกรงถูกยักย้ายเทถ่ายเท
วันนี้ (6 ม.ค.) ที่กองปราบปราม น.ส.วรวรรณ สุวรรณกูฎ ผอ.ฝ่ายนิติกร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) พร้อมด้วย น.ส.ลำดวน ทินราช รักษาการ ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันเดียวกัน เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.โดยนำเอกสารหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการเรื่องเงินคงคลังของสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง รวมทั้งระเบียบข้อบังคับการเบิกถอนและนำฝากเงิน เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาตรวจสอบและประกอบการพิจารณาดำเนินคดีกับผู้ต้องหาในคดีลักเงินสถาบันดังกล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ณษได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวน บก.ป.ชุดคลี่คลายคดีดังกล่าวเพื่อติดตามความคืบหน้าและวางแนวทางการสอบสวนหลังจากนี้ โดยจะมีการพิจารณาเอกสารที่ได้รับมอบเพิ่มเติมจาก น.ส.วรวรรณ และ น.ส.ลำดวน โดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 2 ชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น พ.ต.อ.ณษเปิดเผยภายหลังประชุมคณะพนักงานสอบสวน ว่าหลังจากเมื่อวันที่ 5 มกราคมที่ผ่านมา ทางพนักงานสอบสวนได้เชิญตัว ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง รวมทั้งนายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดี มาสอบปากคำไปแล้ว ในวันเดียวกันนี้เราก็นัดหมายมาสอบปากคำเพิ่มเติมอีก
ด้าน พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป.กล่าวว่า ขณะนี้แม้จะมีการเรียกบุคคลต่างๆ เข้ามาสอบปากคำไปบ้างแล้ว แต่หากภายหลังพบพยานหลักฐานต่างๆ เชื่อมโยงไปถึงว่ามีความเกี่ยวข้องกับกรณีการลักเงินของสถาบันเทคโนโลยีฯ ลาดกระบัง ก็จะต้องเรียกตัวมาสอบปากคำซ้ำ และหากมีหลักฐานว่าร่วมกระทำความผิดก็จะต้องแจ้งข้อกล่าวหาให้ทราบต่อไป ส่วนบุคคลที่ยังต้องออกหมายเรียก ไม่ว่าจะเป็น นายภาดา บัวขาว หรือโอ๊ต ภาดา คนสนิทของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด หนึ่งในผู้ต้องหารายสำคัญในคดี ก็ต้องเชิญตัวเข้าพบพนักงานสอบสวน และคิดว่าน่าจะรู้ตัวอยู่แล้ว
“จากการตรวจสอบพบว่า นายภาดาได้รับทรัพย์สินไปหลายส่วน และมีหน้าที่ดูแลทรัพย์สินแทนนายกิตติศักดิ์ ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ บ้าน ซึ่งจะเห็นจากที่อยู่ในเฟซบุ๊กของคุณภาดาเอง ส่วน น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือพิ้งกี้ นางเอกสาวชื่อดังนั้น ทราบว่า เดินทางกลับประเทศไทยแล้ว คิดว่าถึงอย่างไรก็คงต้องเชิญตัวมาสอบปากคำอย่างแน่นอน ได้พิจารณากันว่าจะนัดหมายในวันที่ 7 มกราคมนี้ โดยทาง น.ส.สาวิกาก็ต้องมาแสดงความบริสุทธิ์ใจ และเท่าที่ทราบเจ้าตัวก็ยินดีที่จะมา ก็ต้องขอบคุณที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย ตามที่ผมเคยระบุไว้แล้วว่าบุคคลที่มีชื่อเป็นกรรมการ หรือหุ้นส่วนของบริษัททั้ง 7 แห่งในเครือของนายกิตติศักดิ์ ส่วนใหญ่ก็จะมีความเกี่ยวพันคดีนี้ด้วย” พ.ต.อ.กรไชย กล่าว
นอกจากนี้ พ.ต.อ.กรไชยยังกล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่า นางสมบัติ และ น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ สองแม่ลูกซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาในคดีจะเข้ามอบตัวว่า จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับการติดต่อประสานมา อย่างไรก็ดี ทางชุดสืบสวนก็อยากให้ทั้งสองเข้ามอบตัว แต่เราก็ไม่ได้ง้อและคงไม่รอให้ติดต่อมาเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรหากไม่มอบตัว เราก็ต้องติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีอยู่แล้ว และจะแสดงให้เห็นว่ามีเจตนาที่จะหลบหนี มีเงื่อนงำที่แสดงถึงความไม่บริสุทธิ์ใจ หรืออาจจะรู้ตัวว่าร่วมกระทำความผิด ซึ่งก็อาจเป็นส่วนที่ทำให้ต้องได้รับโทษมากขึ้นไปด้วย
พ.ต.อ.กรไชยกล่าวต่อว่า สำหรับผู้ต้องหารายอื่นๆ ทางชุดสืบสวนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้ประสานกับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และทางกองการต่างประเทศ (ตท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตามตัวมาดำเนินคดี โดยอาศัยทุกช่อง เช่น การดำเนินการด้านความร่วมมือทางอาญา กรณีผู้ต้องหาหลบหนีอยู่ในประเทศที่ไม่ได้มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับประเทศไทย สำหรับฮ่องกงก็เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษจึงไม่น่ามีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อกัน
ผู้สื่อข่าวถามถึงการตรวจสอบทรัพย์สินของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด หนึ่งในผู้ต้องหาคดีนี้ พ.ต.อ.กรไชยตอบว่า อยากจะเรียนว่านายกิตติศักดิ์นั้นพื้นฐานเดิมก็ไม่ได้มีกิจการอะไร ก่อนจะมาเปิดบริษัทต่างๆ ในช่วงปี 2555-2557 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีเรื่องราวการลักเงินจากสถาบันเทคโนโลยีแห่งนี้ โดยมีการดำเนินการร่วมกัน 3-4 คน ที่เป็นตัวหลัก บางรายเราก็จับกุมและดำเนินคดีแล้วแต่ก็ต้องสืบสวนต่อว่าเงินที่ได้มานั้นเป็นเงินที่ได้มาจากทรัพย์สินของสถาบันเทคโนโลยีดังกล่าวหรือไม่ หากเป็นการลักทรัพย์มาก็ต้องถูกดำเนินคดี และเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน
รอง ผบก.ป.กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ทรัพย์สินต่างๆ ที่มีการตรวจสอบหากพบว่าเป็นการฟอกเงินก็ต้องยึดไว้ทั้งหมด เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่จะต้องส่งคืนให้กับเจ้าของ ส่วนผู้ที่ซื้อไป ก็ต้องดูที่เจตนาว่าบริสุทธิ์ใจหรือไม่ ตนขอยกตัวอย่างว่าถ้านายกิตติศักดิ์ไปปลูกบ้านไว้ 100 หลัง แล้วคนที่ไปซื้อจะต้องถูกยึดหรือไม่ ก็คงไม่ใช่ กฎหมายคงไม่โหดร้ายขนาดนั้น และต้องให้ความเป็นธรรมต่อผู้ซื้อด้วย ไม่ใช่ลักษณะแบบอัฐยายซื้อขนมยาย เช่น กรณีของนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ผู้ต้องหาที่มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารที่ได้รับการโอนเงินแล้วนำเงินไปซื้อบ้านในหมู่บ้านของนายกิตติศักดิ์
“คดีนี้ยืนยันว่าทางตำรวจให้ความเป็นธรรมกับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายโดยนำไปกลั่นแกล้งผู้ที่ไม่ได้ร่วมกระทำความผิด และมีความบริสุทธิ์ใจที่ได้ซื้อทรัพย์สินจากผู้ต้องหา เช่นกรณีนายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือบอย พระเอกหนุ่มชื่อดัง ที่ซื้อรถยนต์ลัมบอร์กินีจากนายกิตติศักดิ์ ก็มีการเช็กทั้งเรื่องที่มา การซื้อขาย และการเสียภาษีว่าถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากพบพฤติกรรมของบางบริษัทมีวิธีการหลีกเลี่ยงเพื่อให้เสียภาษีน้อย” พ.ต.อ.กรไชยกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีทรัพย์สินต่างๆ ของนายกิตติศักดิ์ ที่ทางตำรวจ บก.ป.ได้ยึดไว้ตรวจสอบมีมูลค่าเท่าใด พ.ต.อ.กรไชยกล่าวว่า ในส่วนของทรัพย์สินทั้งหมดที่ยึดไว้ตรวจสอบพบว่ามีมูลค่ารวมหลายร้อยล้านบาท โดยได้ประสานสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เร่งรัดการอายัดและตรวจสอบแล้ว ตั้งแต่วันที่ 29 ธันวาคม 2557 รวมกว่า 38 รายการ โดยส่งให้ทางเลขาธิการ ปปง. แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับการตอบรับข้อมูลกลับมาจากทาง ปปง.ว่ามีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดำเนินการหรือไม่ และกรณีนี้จำเป็นจะต้องมีการตั้งคณะกรรมการเข้ามาดำเนินการ เพราะเกรงว่าทรัพย์สินต่างๆ อาจถูกยักย้ายถ่ายเท โดยช่วงเวลานี้ทางผู้ต้องหายังสามารถกระทำได้
เมื่อถามว่า นายกิตติศักดิ์ได้ยักย้ายทรัพย์สินออกนอกประเทศแล้วหรือไม่ รอง ผบก.ป.ระบุว่า ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างตรวจสอบ