ตร.ชี้ผลสอบ “บอย-ปกรณ์” ไม่พบเชื่อมโยงแก๊งลักเงิน สจล.ระบุการซื้อขายรถไปเป็นตามปกติ ระบุรอเรียกสอบ “พิ้งกี้-สาวิกา” ที่ปรากฏชื่อเป็นหุ้นส่วน 1 ใน 7 บริษัทในเครือของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด
วันนี้ (5 ม.ค.) พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป.กล่าวถึงกรณี นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ “บอย-ปกรณ์” พระเอกหนุ่มชื่อดังที่เป็นผู้ซื้อรถยนต์หรูยี่ห้อแลมโบกินี จากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัดหนึ่งในผู้ต้องหาคดีนี้ ซึ่งได้เข้าให้ข้อมูลต่อพนักงานสอบสวนก่อนหน้านี้ ว่า ได้ตรวจสอบเอกสารการซื้อขายรถยนต์ดังกล่าว โดยไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใด ซึ่งเอกสารแสดงการซื้อขายอย่างถูกต้อง รวมทั้งมีการชี้แจงข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับที่มาที่ไปของเงินที่นำมาซื้อรถยนต์คันดังกล่าว จึงเชื่อได้ว่าเป็นการซื้อขายกันตามปกติ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อผู้ต้องหาในคดี และการลักทรัพย์เงินจาก สจล.
พ.ต.อ.ณษ กล่าวต่อว่า ในส่วนของ น.ส.สาวิกา ไชยเดช หรือ “พิ้งกี้-สาวิกา” นางเอกสาวชื่อดัง ที่พบว่ามีชื่อเป็นหุ้นส่วน 1 ใน 7 บริษัทในเครือของนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาในคดีนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจสอบรายละเอียดว่า น.ส.สาวิกา มีส่วนเกี่ยวข้องต่อคดีด้วยหรือไม่ โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกระยะหนึ่ง โดยเบื้องต้นคาดว่าน่าจะเป็นเพียงหุ้นส่วนทางธุรกิจเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และดึงดูดลูกค้าให้กับธุรกิจของนายกิตติศักดิ์ เท่านั้น แต่จะเรียก น.ส.สาวิกา เข้าให้ปากคำหรือไม่นั้น คงขึ้นอยู่กับดุลพินิจของพนักงานสอบสวน
ด้าน พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป.เปิดเผยว่า ในวันเดียวกันนี้ได้เรียกตัว ศ.ดร.ถวิล และ นายสรรพสิทธิ์ มาสอบปากคำในฐานะพยาน เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการบริหารงานของสถาบันเทคโนโลยีแห่งนี้ รวมทั้งขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อจะมีการเซ็นชื่อเบิกถอนเงินคงคลังของสถาบันฯ ออกมา โดยผู้บริหารจะต้องเป็นผู้ลงนาม และรับทราบการรายงานผลการตรวจสอบจากฝ่ายการคลัง โดยหลังจากนี้ จะมีการประสานขอหนังสือแสดงรายการธุรกรรมทางการเงินจากธนาคารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาตรวจสอบการเบิกถอนเงินของสถาบันดังกล่าว
พ.ต.ท.พงษ์ไสว กล่าวอีกว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้พนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. เร่งรัดตรวจสอบข้อมูล และไฟล์งานต่างๆ ในคอมพิวเตอร์ที่ตรวจยึดไว้เพื่อหาพยานหลักฐานเพิ่มเติม
รวมทั้งตรวจสอบเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะระเบียบข้อบังคับการบริหารเงินและทรัพย์สินของ สจล.ในระหว่างปี 2555-2557 ที่พบว่า เงินกองกลางได้สูญหายไป ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญทางคดี เพื่อตรวจสอบเกี่ยวกับระเบียบหลักเกณฑ์ต่างๆ ในการดำเนินการของ สจล.ส่วนการติดตามตัวผู้ต้องหาที่ยังคงหลบหนีอยู่อีก 4 รายนั้น ได้ประสานฝ่ายสืบสวนในการเร่งรัดติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีแล้ว
พ.ต.ท.พงษ์ไสว กล่าวอีกว่า สำหรับ รศ.ดร.กิตติ ตีรเศรษฐ อดีตอธิการบดี สจล.และ ผศ.สมศักดิ์ คูหาสวรรค์เวช อดีตผู้ช่วยอธิการบดีที่ดำรงตำแหน่งสมัยเดียวกันเมื่อปี 2555 นั้น ทางพนักงานสอบสวนจะประสานเพื่อเชิญตัวมาให้ปากคำในภายหลัง แต่ยังไม่ได้ระบุว่าจะนัดหมายให้เข้าพบในวันเวลาใด