xs
xsm
sm
md
lg

ค้านประกัน อดีต ผจก.แบงก์ ยักยอกเงินเจ้าคุณทหาร 5 รายการ โยก ผอ.คลัง ไป รพ.ตำรวจ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

นายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์
กองปราบสอบประวัติพบอดีต ผจก.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา ยักยอกโอนเงินสถาบันเจ้าคุณทหารลาดกระบังเข้าบัญชีบุคคลอื่น 4 - 5 คน กว่า 1.6 พันล้านบาท ประสานสมาคมธนาคารไทยอายัดบัญชีทั้งหมดแล้ว ออกหมายเรียกเจ้าของบัญชีทั้ง 5 ราย มาสอบปากคำ นำตัวฝากขังผลัดแรก พร้อมคัดค้านการประกันตัว โดยผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธยันไม่มีส่วนรู้เห็น อ้างดำเนินการตามความต้องการของ ผอ.ส่วนการคลังฯ เตรียมโยกตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ตำรวจ อาการยังทรุด สอบปากคำไม่ได้





วันนี้ (24 ธ.ค.) พ.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี รักษาการ ผบก.ป.กล่าวถึงความคืบหน้าคดี นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ และ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ และปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ภายหลังทั้งสอง ได้ร่วมกันก่อเหตุยักยอกเงินกองกลางของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จากบัญชีธนาคารต่างๆ รวมกว่า 1,600 ล้านบาท และมีการทำบัญชีธนาคารปลอม เพื่อหลอกลวงว่าเงินยังมีอยู่ในบัญชีธนาคาร รวมทั้งมีการถ่ายโอนเงินไปยังบุคคลที่ 3 ว่า หลังจากพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ป. ได้สอบปากคำนายทรงกลด แล้ว ทำให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก โดยมีการระบุถึงผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีที่มีอีกอย่างน้อย 4 ราย ซึ่งเป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกรณีการยักยอกเงินจำนวนดังกล่าวออกจากบัญชีธนาคาร 4 แห่ง โดยที่ 1 ใน 4 นั้น เป็นบัญชีของ นายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างตรวจสอบประวัติและติดตามตัวมาสอบปากคำ

พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าวว่า ในวันเดียวกันนี้ ทางพนักงานสอบสวนจะเชิญตัวเจ้าหน้าที่สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ มาสอบปากคำเพื่อแสวงหาพยานหลักฐานในคดีนี้เพิ่มเติม รวมทั้งได้ประสานไปยังสมาคมธนาคารไทย อายัดบัญชีธนาคารที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจสอบยอดเงินและการทำธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดแล้ว โดยในส่วนของพฤติกรรมการกระทำความผิดโดยการถอนเงินจากทั้ง 4 บัญชีธนาคาร หากพบว่าบุคคลที่เป็นเจ้าของบัญชี มีส่วนรู้เห็นและร่วมขบวนการในการกระทำความผิดด้วย ก็จะพิจารณาขออนุมัติศาลออกหมายจับต่อไป นอกจากนี้ ได้ประสานไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อตรวจสอบเส้นทางการเงิน และร่วมสอบปากคำผู้ต้องหา แต่ขณะนี้ยังไม่พบว่าเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ปราบปรามการฟอกเงิน

“สำหรับการพิจารณาดำเนินคดีกับ น.ส.อำพร ที่ยังคงพักรักษาตัวด้วยอาการโรคเบาหวาน ที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ย่านบางนา นั้น ได้ประสานกับแพทย์ผู้ทำการรักษาแล้ว ซึ่งระบุว่าอาการของผู้ป่วยยังไม่ดีขึ้น จึงยังไม่สามารถจะเข้าควบคุมตัวมาสอบปากคำได้ในขณะนี้ แต่ได้ขออายัดตัวไว้แล้ว โดยจะประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อขอให้ย้ายตัวไปรักษาต่อที่ รพ.ตำรวจ เพื่อสะดวกต่อการควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีต่อไป” พ.ต.อ.อัคราเดช กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รอง ผบก.ป. กล่าวว่า ทาง รักษาการ ผบก.ป. ได้มอบหมายให้ตนเป็นหัวหน้าคณะพนักงานชุดสืบสวน ส่วน พ.ต.อ.ณษ เศวตเลข รอง ผบก.ป. เป็นหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวน ซึ่งขณะนี้พนักงานสอบสวน ได้เตรียมออกหมายเรียกบุคคล 5 คน ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงินที่สูญหายไป ซึ่งมีหน้าที่รับเงิน และรู้จักกับผู้ต้องหา โดยหนึ่งในนั้น คือ นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ซึ่งมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีปลายทางของเงิน 80 ล้านบาท และมีชื่อด้านหลังแคชเชียร์เช็ค ที่นำไปขึ้นเงิน นอกจากนี้ จะมีการส่งเอกสารให้หน่วยพิสูจน์หลักฐานตรวจสอบลายเซ็น ว่าถูกปลอมแปลงหรือไม่ จากนี้จะเรียกผู้บริหารของสถาบันทั้งเก่าและใหม่ มาสอบถามข้อเท็จจริงด้วย

พ.ต.อ.กรไชย กล่าวต่อว่า จากการตรวจสอบบัญชีของสถาบันฯ ที่เปิดไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ ตั้งแต่ปี 2555 พบว่ามีการถอนเงินออกไป 29 ครั้ง ในรูปแบบฝากประจำ 994 ล้านบาท แล้วทยอยถอนออกภายใน 2-3 วัน มีจำนวนเงินตั้งแต่ 10,000 บาท จนถึงกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนั้นนายทรงกลด เป็นผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยาสาขาห้างบิ๊กซี สุวินทวงศ์ ด้วย ทั้งนี้ ยังพบอีกว่า น.ส.อำพร มีการยักยอกเงินในบัญชีอื่นๆ ของสถาบันแห่งนี้ ซึ่งเกิดความเสียหายขึ้นอีกหลายล้านบาท อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องหาทั้งสอง ยังคงให้การปฏิเสธ โดยนายทรงกลด ให้การถึงเส้นทางการเงิน ส่วน น.ส.อำพร ให้การว่าตั้งใจจะนำเงินมาคืนในช่วง 2-3 วัน อยู่แล้ว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยอาการล่าสุดของ น.ส.อำพร ยังทรงตัว ซึ่งขณะนี้กำลังพิจารณาให้ย้ายจาก รพ.เอกชน ที่เข้ารักษาตัว ให้ไปรักษาต่อที่ รพ.ตำรวจ แต่อาจต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์เจ้าของไข้ เพราะทราบว่า น.ส.อำพร มีโรคแทรกซ้อนหลายโรคด้วย

วันเดียวกัน ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ กองปราบปราม พ.ต.ท.พงษ์ไสว แช่มลำเจียก พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กก.1 บก.ป.ได้เบิกตัว นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 40 ปี ผู้จัดการธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขาห้างบิ๊กซี ศรีนครินทร์ เพื่อไปขออำนาจศาลจังหวัดพระโขนง ผลัดฟ้องฝากขังเป็นครั้งแรก โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนได้ขอคัดค้านการประกันตัว อย่างไรก็ดี สำหรับการพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหานั้น ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล

ด้าน นายทรงกลด กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นไม่เคยมีการถอนเอาเงินสดออกไป มีเพียงการทำเรื่องถอนโดยโอนเข้าบัญชีธนาคารบุคคลอื่น มันมีที่มาที่ไป โดยตนมีหน้าที่ทำรายการในบัญชีให้ตามความประสงค์ของลูกค้าเท่านั้น ในส่วนของการซื้อแคชเชียร์เช็คเพื่อนำเงินเข้าบัญชีธนาคารสาขาที่ตนเป็นผู้จัดการนั้น เป็นความต้องการของ น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 56 ปี ผอ.ส่วนการคลัง สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง แต่ขั้นตอนต่างๆ ก็ต้องขึ้นอยู่กับระเบียบของทางธนาคารด้วย รายการที่ตนได้รับมานั้นจะระบุอยู่แล้วว่า จะให้ถอนเงินจากบัญชีไหน นำเข้าบัญชีไหน มีรายการที่ให้ทำอยู่แล้ว คือตนทำงานธนาคารมานาน ไม่ใช่เพิ่งมาทำกรณีนี้ ตอนที่ตนได้มันก็มีรายการอื่นที่เรียกได้ว่าเป็นรายการปกติของการนำฝาก-ถอนในบัญชี การทำรายการเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้ามีกรณีที่เขาสั่งให้ถอนเงินเพื่อจะให้โอนเข้าบัญชีอื่นโดยที่ไม่มีสมุดมา หรือไม่มีการเซ็นใบถอนมาก็จะทำให้ไม่ได้เลย

นายทรงกลด กล่าวต่อว่า กรณีการเขียนเช็คให้กับนายพูลศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อันนี้ถ้าเช็คปกติ ลูกค้าจะเป็นคนจัดการซื้อแคชเชียร์เช็คมาเอง แต่การนำมาให้เรานำฝาก ก็ดำเนินการตามที่ลูกค้าสั่งโดยรายชื่อลูกค้าที่มีการโอนต่อไปนั้น ตนไม่ทราบว่าเป็นใครและไม่รู้จักกัน ส่วนบัญชีธนาคารที่มีการถอนเงินนั้นมีทั้งบัญชีฝากประจำ และบัญชีประเภทออมทรัพย์ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นบัญชีฝากประจำ ก็สามารถฝาก - ถอนได้ หากไม่ใช่ตัวบัญชีที่มีประกันชีวิต เพราะเป็นเงินของลูกค้าเอง แต่หากถอนก่อนครบกำหนดเงื่อนไข เช่น ฝากประจำ 3 เดือน แต่ยังไม่ครบ 3 เดือนแล้วถอนเงินไปก่อน ก็จะไม่ได้รับดอกเบี้ยเลย

นายทรงกลด กล่าวอีกว่า ช่วงที่ทำรายการทางบัญชีธนาคารให้ลูกค้า ก็ไม่ได้เอะใจว่าจะมีการทุจริตเกิดขึ้น เนื่องจากตนเชื่อว่าทางสถาบันเทคโนโลยีดังกล่าวน่าจะมีระบบการตรวจสอบที่ดีอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ได้พบกับ น.ส.อำพร ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ที่เคยทำงานก่อนหน้านี้ ซึ่งตอนนั้นก็ยังเป็นพนักงานระดับเล็กๆ อยู่ การทำงานในขั้นตอนต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับระดับตำแหน่ง เช่น ธุรกรรมที่เป็นปกติอยู่แล้วมีลำดับขั้นตอนชัดเจน ส่วนในปี 2555 ซึ่งมีการตรวจสอบพบว่าเริ่มมีการทุจริตของสถาบันดังกล่าวเป็นเงินจำนวนมากนั้น เท่าที่ได้คุยกับเจ้าหน้าที่เรื่องเช็คระยะเวลาตอนนั้นยังไม่ถึงจำนวนนี้ แต่เงินที่มีการให้ตนทำรายการไม่น่าจะถึง 1,000 ล้านบาท แต่จำตัวเลขไม่ได้ มีการโอนเข้าชื่อบุคคล 2-3 คน ซึ่งตนก็ไม่ได้สอบถาม ทั้งนี้หากจำนวนเงินที่มีการเบิกถอนจำนวนมาก และเข้าข่ายต้องสงสัย ก็ต้องรายงาน ปปง.อยู่แล้ว ส่วนสาเหตุที่ตนลาออกจากธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ทำงานเก่า เป็นเพราะธนาคารกรุงศรีฯ ซึ่งเป็นที่ทำงานแห่งใหม่ได้เงินเดือนสูงขึ้น โดยทางธนาคารเดิมก็ตรวจสอบตนอยู่แล้ว ว่าทำอะไรซ่อนไว้หรือไม่ และหากพบว่ามีส่วนใดที่สุ่มเสี่ยงว่าจะทำให้เกิดความเสียหายขึ้นในอนาคต เขาก็จะดำเนินการให้ถูกต้องก่อน โดยเอกสารที่มีบางส่วนก็เกี่ยวข้องกับทางสถาบันดังกล่าวด้วย และทางธนาคารก็จะให้ลูกค้าจัดการให้เรียบร้อยจนมั่นใจว่าจะไม่เป็นปัญหาในอนาคต หลังจากนั้นจึงให้ตนลาออกได้

“ผมยืนยันว่า ที่ลาออกจากธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน ไม่ได้เกิดจากการทุจริต หรือปัญหาใดๆ ทั้งนั้น ที่ลาออกก็เขียนใบลาออกเอง ได้รับค่าตอบแทนตามเงื่อนไขของพนักงานที่จะได้รับเมื่อลาออก ผมทำงานที่นี่มาเกือบ 20 ปี อยู่ประจำที่สาขาตรงข้ามสถาบันเทคโนโลยีแห่งนี้ ก็รู้จักกับเจ้าหน้าที่ของสถาบันดังกล่าวเกือบทุกคนที่ต้องมาติดต่อทำธุรกรรมกับทางธนาคาร ส่วน น.ส.อำพร ก็จะเจอกันเฉพาะเมื่อมีการทำธุรกรรมไม่ได้สนิทสนมอะไร” นายทรงกลด กล่าว

นายทรงกลด กล่าวด้วยว่า เพิ่งมาทำงานที่ธนาคารกรุงศรีฯ ได้ไม่ถึงปี แต่เมื่อทราบข่าวที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อยากให้กระทบกับชื่อเสียงของธนาคาร ตนจึงพิจารณาตัวเองด้วยการลาออก หากตนอยู่ต่อไป อนาคตก็คงต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมให้กับสถาบันเทคโนโลยีนี้อย่างแน่นอน จึงไม่อยากให้ทางธนาคารได้รับความเสียหาย สำหรับกรณีที่ระบุว่าตนไม่ผ่านโปร หรือการทดลองงานถึงถูกให้ออกนั้น ก็มีส่วนด้วย เพราะการประเมินของธนาคารที่จะรับพนักงานประจำโดยเฉพาะในตำแหน่งผู้จัดการสาขา มีหลักเกณฑ์ต่างกัน อย่างที่ธนาคารกรุงศรีฯ การที่จะรับเป็นผู้จัดการ เขาต้องมั่นใจว่าจะสร้างผลงานให้ทางธนาคารเขาได้ ถ้าได้ผู้จัดการเก่งๆ ก็จะผ่านโปรได้เร็ว แต่เมื่อมีเรื่องตนจึงไม่ได้รับการประเมินให้ผ่านงาน ซึ่งการทำงานธนาคารตนก็ทำใจไว้อยู่แล้วว่าขาข้างหนึ่งต้องเสี่ยงอยู่ในคุกในตารางอยู่แล้ว เราก็จะต้องชี้แจงให้ได้ในส่วนที่มันเป็นจริง ส่วนที่เรารับผิดชอบ หลังจากนั้นแล้ว หากมีอะไรที่ทำให้เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้อง ทำให้เราต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการร่วมกระทำความผิดด้วย เราก็ต้องไปชี้แจง ไปต่อสู้คดีตรงนั้น เพื่อล้างมลทินให้ตัวเอง แต่ถ้าสุดท้ายแล้วการทำธุรกรรมต่างๆ แล้วมันทำให้เราต้องผิดไปด้วย ก็เตรียมใจไว้อยู่แล้ว เพราะทุกครั้งที่ทำเอกสารใดๆ แล้วมีปัญหาซึ่งแก้ไขไม่ได้ ก็มีหลักฐานปรากฎตามลายเซ็น ส่วนจะสามารถนำเงินคืนกลับมาให้ได้หรือไม่นั้น ก็จะให้ความร่วมมือกับตำรวจทุกขั้นตอน โดยขณะนี้กำลังทำเรื่องเส้นทางการเงินกันอยู่

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีการปลอมบัญชีธนาคาร นายทรงกลด กล่าวว่า ได้ปรึกษากับทางทนายความในประเด็นนี้แล้ว เป็นเรื่องของการปลอมตัวเลขรายการในบัญชี ซึ่งตนไม่ได้มีส่วนรู้เห็น แต่บัญชีดังกล่าวมีทั้งรายการจริงและรายการปลอม โดยมีลายเซ็นของตนในส่วนที่มีการทำรายการจริง ส่วนกรณีของ น.ส.อำพร ตนก็ยังไม่คิดว่าจะเป็นผู้ที่กระทำการทั้งหมด เพราะเขาเป็นคนที่หวังดี อยากให้เงินฝากของทางสถานบันเทคโนโลยีฯ งอกเงย มีผลตอบแทนดีกว่าที่ฝากไว้เดิมแต่ได้รับดอกเบี้ยน้อย ไม่ได้คิดว่าเขาตั้งใจจะทุจริตอะไรเลย สำหรับบุคคลที่ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่าเกี่ยวข้องกับการทุจริต 4 คน หากเขากล่าวอ้างว่ารู้จักตนก็คงต้องพิสูจน์กัน เพราะตนยืนยันว่าไม่ได้รู้จักกับทั้งหมดแต่อย่างใด

ต่อข้อถามถึงยอดเงินเบิกถอนในส่วนของ น.ส.อำพร ที่ทำรายการผ่านนายทรงกลด นั้น เจ้าตัวระบุว่า น่าจะอยู่ที่ประมาณ 80 ล้านบาท ส่วนที่มีการโอนและถอนเงินอีกกว่า 20 ครั้งนั้น เป็นรายการย่อยๆ ที่ตนไม่ทราบหรือรู้เห็นด้วยทั้งหมด แต่หากเป็นรายการที่ตนทำ ก็จะมีลายเซ็นตนกำกับ ส่วนกรณีที่มียอดเงินสูง ก็จะรายงาน ปปง. ตามระเบียบ รวมทั้งธุรกรรมต้องสงสัยด้วย ปัจจุบันก็จับโดยระบบเองด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น