พบ 3 ฝ่ายสุมหัววางแผนทุจริตกว่าปีเศษ ทยอยสูบเงินฝากกว่าเรื่องจะแดง 3 พันล้านบาทหายไปกว่าครึ่ง เชื่อระดับบริหารร่วมฝ่ายการเงิน-ผจก.ธนาคาร หวังรวยทางลัด พิลึกรู้มานานแต่เพิกเฉยทุกฝ่ายทำเป็นธุระไม่ใช่ คาดในอนาคตมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังจะต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
กรณีทุจริตครั้งมโหฬารในแวดวงการศึกษาโดยขบวนการยักยอกเงินบัญชีกลาง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เป็นจำนวนถึง 1.6 พันล้านบาท คาดว่าจะเป็นฝีมือของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของมหาวิทยาลัยบางคน รวมทั้งระดับบริหาร ร่วมมือกับพนักงานธนาคาร ตามที่ทีมข่าวอาชญากรรม astv ผู้จัดการนำเสนอไปนั้น มีรายงานความคืบหน้าว่า การทุจริตส่งท้ายปีเก่าจนช็อกสังคมไทยนั้นมีการวางแผนกันเป็นอย่างดี สังเกตจากเงินส่วนกลางของมหาวิทยาลัยฯ ซึ่งมีทั้งหมด 3 พันล้านบาทนั้นถูกซอยไปกว่า 10 บัญชี และมีตัวเลขเบิกจ่ายค่อนข้างสับสน ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่งของขบวนการยักยอกนั่นเอง
รายงานแจ้งว่า นอกจากการแยก-ซอยบัญชีเพื่อถ่วงเวลาการตรวจสอบแล้ว วิธีการโกงยังอาศัยระยะเวลาเพื่อตบตาคณะกรรมการตรวจสอบด้วย กล่าวคือ ในแต่ละบัญชีจะถูกทยอยเบิกครั้งละไม่มากซึ่งใช้เวลาประมาณปีเศษจนมียอดสะสมถึง 1.6 พันล้านบาทและเมื่อมีการนำแคชเชียร์เช็คไปขึ้นกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา เรื่องราวต่างๆ จึงแดงขึ้น สำหรับกลุ่มผู้ต้องสงสัยร่วมหัวกันโกงเงินกองกลางมหาวิทยาลัยฯ นั้นคาดว่าจะมีด้วยกัน 3 ฝ่าย คือ 1. ฝ่ายผู้บริหารบางคนที่มีอำนาจลงนามเบิกจ่าย 2. เจ้าหน้าที่การเงินของมหาวิทยาลัย และ 3. ฝ่ายธนาคารที่รับฝากเงิน ขณะนี้พนักงานระดับ ผจก.รู้ตัวหลบหนีไปก่อนแล้ว
มีรายงานด้วยว่า การทุจริตในรั้วมหาวิทยาลัยครั้งนี้มีข่าวระแคะระคายมานานหลายเดือนแล้วซึ่งในการประชุมสภาสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในแต่ละครั้งก็หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเสมอแต่มีขบวนการใช้วิธีหักล้างด้วยการนำเอกสารบัญชีที่ตกแต่งขึ้นมาเองอ้างกับที่ประชุม อย่างไรก็ตามแม้จะมีหลายคนสงสัยในพฤติกรรมดังกล่าวแต่ระดับบริหารกลับนิ่งเฉย ไม่มีใครคิดดำเนินการตรวจสอบอย่างแท้จริง ไม่ว่าตรวจค้นหลักฐานเพื่อนำมาแจ้งต่อพนักงานสอบสวน หรือกระทั่งนำสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นมาบอกกล่าวกับสื่อมวลชน กลายเป็นว่าพอเกิดเรื่องทุจริตในองค์กรแทนที่ทุกฝ่ายจะต้องเร่งช่วยกันปัดกวาดกลับเพิกเฉยไปหมด
“แม้แต่วันนี้หากสื่อผู้จัดการออนไลน์ไม่นำเรื่องมาตีแผ่ ก็ไม่อาจหวังได้ว่าผู้ใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้จะจัดการอะไรได้ และหวังว่าเมื่อผ่านเรื่องนี้ไปแล้วผู้ใหญ่ที่เห็นความสำคัญของสถาบันจะต้องผ่าตัด เปลี่ยนแปลงไม่ให้มหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นแดนสนธยาอีกต่อไป” แหล่งข่าวระดับสูงแสดงความเห็น