คณะทำงานร่วม อสส.-ป.ป.ช.เร่งพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์สำนวนคดี “ยิ่งลักษณ์” ละเลยการปฏิบัติหน้าที่ไม่ยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ทั้งที่พบว่ามีการทุจริต ชี้หากดำเนินการตามที่คณะทำงานร่วมเสนอ คดีก็จะมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะดำเนินคดีอาญาในชั้นศาลได้
วันนี้ (12 ธ.ค.) เมื่อเวลา 14.20 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด นายสุรศักดิ์ ตรีรัตน์ตระกูล อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมแถลงข่าวความคืบหน้า กรณีการพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์ของสำนวนคดีจำนำข้าวที่ ป.ป.ช.มีมติชี้มูล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว
โดยนายสุรศักดิ์ 1 ใน 10 ของคณะทำงานอัยการที่ร่วมประชุมกับ ป.ป.ช.กล่าวว่า ตามที่คณะทำงานผู้แทนอัยการสูงสุดและคณะทำงานผู้แทนคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้ร่วมประชุมพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์กันครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 57 โดยผลการประชุมสรุปว่าคณะทำงานผู้แทนอัยการสูงสุดเห็นว่า ควรสอบปากคำพยานบุคคลเพิ่มเติมและส่งพยานเอกสารให้ครบถ้วนตามที่ได้แจ้งข้อไม่สมบูรณ์ไว้ทุกประเด็น แต่คณะทำงานผู้แทนคณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นว่าจะส่งพยานเอกสารเพิ่มเติม และสอบพยานบุคคลบางปากที่เกี่ยวข้องกับเอกสารเท่านั้น โดยคณะทำงานผู้แทนแต่ละฝ่ายจะนำประเด็นที่พิจารณากันไปเสนออัยการสูงสุด และคณะกรรมการ ป.ป.ช.ว่าอัยการสูงสุด และคณะกรรมการ ป.ป.ช.จะเห็นพ้องด้วยกับแนวทางของฝ่ายใดอย่างใด
นายสุรศักดิ์กล่าวอีกว่า ทางอัยการสูงสุดพิจารณาแล้วเห็นว่า หากมีการรวบรวมพยานเอกสารเพิ่มเติมและมีการสอบปากคำพยานบุคคลที่เกี่ยวข้องกับเอกสารให้ครบถ้วนสมบูรณ์ตามประเด็นที่คณะทำงานผู้แทนคณะกรรมการ ป.ป.ช.เห็นชอบด้วย และมีการสอบเพิ่มเติมในประเด็นของคณะทำงานผู้แทนอัยการสูงสุดเรื่องการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีให้สิ้นกระแสความแล้ว คดีก็น่าจะมีพยานหลักฐานสมบูรณ์พอที่จะดำเนินคดีอาญาในชั้นศาล ทั้งนี้ อัยการสูงสุดได้ยึดหลักกฎหมายและปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาด้วยความถูกต้องชอบธรรม อำนวยความยุติธรรมให้แก่ทุกฝ่ายเพื่อรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน
อธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวนกล่าวอีกว่า หลังจากนี้คณะทำงานร่วมฯ จะนัดประชุมเพื่อพิจารณาข้อไม่สมบูรณ์อีกครั้ง ทางคณะทำงาน ป.ป.ช.จะกำหนดวันนัดประชุมอย่างเร็วที่สุด คาดว่าภายในเดือนนี้ซึ่งยังติดขัดในรายละเอียดการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีตามที่มีการตั้งประเด็นไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยข้อเท็จจริงเรื่องนี้มีปรากฏอยู่ในสำนวนของ ป.ป.ช.แล้วแต่ยังไม่ชัดเจน เนื่องจากพยานที่อยู่ในสำนวนการไต่สวนของ ป.ป.ช.ที่ส่งถึงอัยการสูงสุด มีถ้อยคำของพยานที่ให้การในส่วนของรายละเอียดการซื้อขายข้าวแบบจีทูจี ที่มีความเห็นขัดแย้งไม่ชัดเจน โดยพยานบางปากให้การว่าไม่มีการซื้อขายแบบจีทูจี แต่ขณะที่พยานอีกส่วนหนึ่งยืนยันว่ามีการซื้อขายข้าวด้วยวิธีดังกล่าว จึงต้องหาข้อสรุปให้ได้ข้อชัดเจนเสียก่อนว่ามีการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีจริงหรือไม่อย่างไร ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นประเด็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งในสำนวนคดีนี้ คาดว่าคณะทำงานร่วมฯจะใช้เวลาพิจารณาไม่นาน แต่คงพิจารณาเสร็จสิ้นไม่ทันภายในปีนี้ ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทางอัยการกับ ป.ป.ช.มีแนวทางแตกต่างกัน แต่ในการทำงานทุกฝ่ายพยายามหาหลักฐานให้ดีที่สุด แนวทางของคณะทำงานอัยการมองว่า หากจะมีการดำเนินคดีในชั้นศาลหลักฐานทั้งหมดก็ควรจะต้องครบถ้วนสมบูรณ์ และการร่างฟ้องจะต้องมีสาระสำคัญครบถ้วนตามที่มีการกล่าวหา
ผู้สื่อข่าวถามว่า พยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่ขณะนี้สามารถสั่งฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติตามมาตรา 157 ได้หรือไม่ นายสุรศักดิ์กล่าวว่า ต้องพิจารณาการรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมให้เสร็จสิ้นก่อน ซึ่งตามข้อกล่าวหาของป.ป.ช.นั้นระบุเป็นการกระทำผิดกฎหมาย ป.ป.ช.และประมวลกฎหมายอาญาที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน เพียงแต่ความผิดตามประมวลกฎหมาย มาตรา 157 ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบนั้นเป็นบทกฎหมายเฉพาะ ซึ่งคาดว่าคงจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นในการประชุมคณะทำงานร่วมระหว่าง ป.ป.ช.ในครั้งหน้า โดยจะต้องรอดูพยานหลักฐานที่รวบรวมมาได้ทั้งหมดเสียก่อน รวมทั้งประเด็นเรื่องการสอบสวนเพิ่มเติมหลังจากนั้นก็จะมาพิจารณาร่วมกันอีกครั้ง เพื่อให้พยานหลักฐานมีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และเมื่อคดีเข้าสู่ชั้นศาลจะได้มีหลักฐานครบถ้วนสมบูรณ์
เมื่อถามว่าพยานหลักฐานเท่าที่มีอยู่น่าจะเชื่อมโยงกันได้หรือไม่ว่ามีการทุจริตในโครงการเกิดขึ้นแล้ว นายสุรศักดิ์กล่าวชี้แจงว่า ขณะนี้พยานหลักฐานกำลังอยู่ระหว่างพิจารณาในส่วนนี้ด้วย เพราะประเด็นทุจริตก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ทาง ป.ป.ช.ชี้มูลมา โดยคาดว่าจะต้องรอประชุมร่วมคณะทำงานในครั้งหน้า คาดว่าคงจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามอัยการสูงสุดก็ได้เน้นย้ำโดยให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย