บช.น.ยัน 2 มะกันลักชิ้นส่วนทารก รพ.ศิริราช ยังกบกานอยู่ในเขมร ประสาน ตม.จับกุมตัว แจงสภาทนายความ ตร.ไม่มีอำนาจควบคุมตัว ในข้อหาสำแดงเท็จเพราะอัตราโทษจำคุกเล็กน้อย
วันนี้(20พ.ย.) ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) พล.ต.ต.ชวลิต ประสพศิลป ผบก.น.5 เปิดเผยถึงกรณีนายไรอัน เอ็ดเวิร์ด แม็คฟอร์สัน อายุ 31 ปี และนายแดเนียล เจมอน คอนเนอร์ อายุ 31 ปี 2 นักท่องเที่ยวลักชิ้นส่วนมนุษย์ที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑ์โรงพยาบาลศิริราช ก่อนนำชิ้นส่วนดังกล่าวจัดส่งผ่านบริษัทดีเอชแอล ส่งไปที่ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า ทั้งคู่ยังคงกลบดานอยู่ที่ประเทศกัมพูชา ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.บางโพงพางจึงประสานไปยังสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เพื่อตรวจสอบประวัติการเข้าออกบริเวณด่านชายแดนกัมพูชา และบันทึกประวัติของผู้ต้องหาทั้ง2 ในระบบการตรวจสอบบุคคลต้องสงสัยที่ก่อเหตุอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งขาติ(ตร.) ซึ่งจากการตรวจสอบ พบว่าผู้ต้องหาทั้ง2 จองที่พักในกทม. เพื่อที่จะเข้าพักวันที่ 25พ.ย.ที่จะถึงนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเร่งติดตามผู้ร้ายทั้ง 2 มาดำเนินคดีทันที
ด้านผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีสภาทนายความแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าละเลยไม่แจ้งข้อกล่าวหาและปล่อยตัวผู้ต้องหา จนกระทั่งทราบว่าหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า ความจริงแล้วยังไม่สามารถจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ เพราะจะต้องมีการอนุมัติขอหมายจับก่อน ซึ่งจะต้องดูว่าโทษดังกล่าวมีอัตราโทษเท่าไหร่ หากควบคุมตัวได้ ก็ไม่สามารถจับกุมตัวได้ทันที เนื่องจากกรณีที่ผู้ต้องหาถูกแจ้งข้อกล่าวหาว่าสำแดงเท็จ จะมีอัตราโทษจำคุกแค่ 5 เดือน ส่วนกรณีออกหมายจับนั้น ทางพนักงานสอบสวนจะต้องดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อขออนุมัติหมายศาลออกหมายจับ ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 3 ปีขึ้นไป หรือหากผู้ต้องหาหลบหนี จะต้องทำหมายเรียกก่อน จากนั้นจึงจะสามารถจับกุมตัวได้
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่าได้มีการตรวจสอบก่อนหน้าว่าผู้ต้องหามีความผิดเกี่ยวกับลักทรัพย์หรือรับของโจรหรือไม่ พล.ต.ต.ชวลิต กล่าวว่า ในที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่สามารถตรวจสอบที่มาของๆกลางดังกล่าวได้ ซึ่งการจะแจ้งข้อหาสำแดงเท็จนั้น จะต้องตรวจสอบเอกสารก่อนว่าเป็นอย่างไร หรือส่งถึงใคร หรือมีลักษณะเข้าข่ายข้อหาสำแดงเท็จ ส่วนกรณีที่ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่กักตัวไว้นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจทำตามอำนาจของข้อกฎหมายที่กำหนดไว้เท่านั้น
ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึง กรณีที่สภาทนายความตำหนิตำรวจที่ไม่แจ้งข้อกล่าวหากับนักท่องเที่ยวชาวอเมริกัน 2 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาลักทรัพย์ชิ้นส่วนมนุษย์จากพิพิธภัณฑ์นิติเวช รพ.ศิริราช ในทันทีที่เกิดเหตุ ปล่อยให้หลบหนีไปได้ ว่า ในชั้นแรกตำรวจยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดว่าชิ้นส่วนทารกดังกล่าวเป็นทรัพย์ของผู้ใด ไม่ทราบว่ามีการขโมยมาจากพิพิธภัณฑ์นิติเวช รพ.ศิริราช แต่ทันทีที่ทราบมีพยานหลักฐานชัดเจนก็ดำเนินการออกหมายจับทันที โดยขณะเชิญตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 คนไปให้ปากคำในตอนแรกทั้งคู่ยังเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยเท่านั้น เมื่อไม่มีพยานหลักฐานยืนยันความผิด ตำรวจก็ไม่มีอำนาจควบคุมตัว จำเป็นต้องปล่อยตัวออกไปก่อน ไม่สามารถจะรั้งตัวเขาไว้ได้ หากควบคุมตัวไว้โดยไม่มีอำนาจก็เป็นการละเมิดสิทธิ มีความผิดฐานหน่วงเหนี่ยวกักขัง และความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ขณะเดียวกันกรณีนี้ทางสถานทูตสหรัฐอเมริกาก็ประสานสอบถามตลอดว่าเขาทำผิดอะไร ในที่สุดเราจำเป็นต้องปล่อยตัวไป
ด้านพ.ต.ท.กฤษณะ พัฒนเจริญ ผกก.ฝ่ายตำรวจสากลและประสานงานภูมิภาค1 กองการต่างประเทศ กล่าวว่า ในการติดตามตัวผู้ต้องหาทั้ 2 คน ตำรวจสากลประเทศไทยได้ประสานไปยังองค์กรตำรวจสากลที่มีสมาชิก 190 ประเทศทั่วโลก เพื่อสืบทราบความเคลื่อนไหวของผู้ต้องหาทั้ง 2 คน หากไปปรากฏตัวที่ประเทศใด ตำรวจประเทศนั้นจะแจ้งข้อมูลมายังตำรวจสากลประเทศไทยทันที สำหรับกรณีนี้หากพนักงานอัยการสรุปสำนวนสั่งฟ้องผู้ต้องหาไปแล้ว ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติก็จะทำเรื่องขอให้ดำเนินการส่งตัวเป็นผู้ร้ายข้ามแดน ซึ่งเป็นเรื่องทางการทูต ต้องดำเนินการผ่านอัยการสูงสุด นอกจากนี้ตำรวจสากลประเทศไทยได้ประสานไปยังหน่วยงานเอฟบีไอของสหรัฐอเมริกา ขอทราบข้อมูลว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คน เคยกระทำความผิดลักษณะนี้หรือไม่ เคยต้องโทษบ้างหรือไม่ นอกจากนี้ได้ประสานงานไปยังประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางผู้ช่วยทูตตำรวจ ซึ่งขณะนี้เรามีผู้ช่วยทูตตำรวจประจำอยู่ที่ประเทศพม่าและกัมพูชาให้ช่วยติดตามว่าผู้ต้องหาทั้ง 2 คนหลบหนีอยู่ในประเทศเหล่านี้หรือไม่